เมื่อปลายเดือนตุลาคม ๒๕๔๓ คุณ(พี่)ปรีชา พบสุข อดีตนายกสมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย ชวนผมซึ่งรู้จักสนิทกันตั้งแต่ผมรับราชการที่ชลบุรีนั้น ไปร่วมคณะของหอการค้าจังหวัดเชียงราย ไปเยือนนครเชียงตุง แคว้นสิบสองปันนา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลหยุนหนานของจีน
คณะที่เราไปร่วมสมทบคือ คณะของจังหวัดเชียงราย เป็นคณะใหญ่ สมาชิกร่วมร้อยคน เผอิญคนหนึ่งในคณะเป็นไข้หวัดตั้งแต่ช่วงเย็นวันแรกไปถึง ช่วงเรากินอาหารเช้าผม่ไม่เห็นเขาลงมา จึงขึ้นไปเยี่ยมและสอนฝึก "พลังลมปราณ" ให้ โดยผมบอกเพื่อนของเขาว่า ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคนไข้ ให้คณะไปตามรายการ แต่เมื่อหนุ่มใหญ่ตั้งใจฝึกฯ ตามผมสอนได้ราวครึ่งชั่วโมงก็เหงื่อซึมหายไข้และสดชื่นเป็นปรกติ แต่คณะก็ไปแล้ว กว่าจะกลับมาที่โรงแรมก็ ๓-๔ ทุ่มโน่นแล้ว คนหายไข้เป็นพ่อค้าชาวอำเภอพาน เป็นรองประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย เขาจึงติดต่อขอไปพบ "เจ้าสุวรรณวงศ์" ชื่อจีนว่า "เตาซินหัว" ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรีและประธานหอการนครเชียงรุ่ง ท่านเชิญเราไปที่บ้านพัก และจัดอาหารกลางวันเลี้ยง โดยเชิญ "เจ้ามหาราชวงศ์" ชื่อจีนคือ "เตากั๊วต่ง" อดีตนายกเทศมนตรีฯ มาร่วมวงด้วย
ระหว่างสนทนาในมื้ออาหาร ผมได้ขอให้ช่วยกราบทูลติดต่อให้เราได้เข้าเฝ้า "เจ้า(ย่ำกระ) หม่อมคำฤา" จีนใช้ชื่อว่า "เตาซื่อซิน" เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย นอกราชบัลลังก์ของราชวงศ์เชียงรุ่งที่ "ท้าวฮุ่ง(รุ่ง) หรือขุนเจื๋อง" ผู้เรืองเดชานุภาพก่อตั้งชึ้นกว่า ๘๐๐ ปีก่อน พระองค์ทรงจำผมได้ เพราะเคยเฝ้าเมื่อปลายเมษายน ๒๕๒๕ ที่สถาบันชนชาติส่วนน้อย ณ นครคุนหมิง ครั้งนั้นผมเดินทางไปในคณะนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคของไทย หลังจากนั้นผมผ่านนครคุนหมิงหลายครั้ง ก็สื่อสารถึงพระองค์โดยฝากไปถวายกับ "เจ้าหน่อ" ซึ่งทรงเป็นโอรสของเจ้ามหาราชวงศ์" ดังนั้น "เจ้าหม่อมคำฤา" จึงทรงพระกรุณาให้เราไปร่วมโต๊ะเสวยในมื้อเย็นวันนั้น
ที่โต๊ะเสวยมีเพียง ๕ คน ในร้านอาหารแบบฉบับไทยลื้อ อันเป็นชนชาติของแคว้นสิบสองปันนา เราสนทนาด้วย "คำเมือง" ไม่ต้องมีล่าม จึงคุยได้สะดวก และได้ฟังข้อมูลจากพระราชวงศ์ทั้งสามว่า พญามังรายฯ ผู้ทรงก่อตั้งอาณาจักรล้านนานั้น ทรงเป็นพระราชนัดดาของพญาเชียงรุ่ง โดยมีพระบิดาชื่อ "ท้าวลาวเม็ง" แห่งนครเชียงแสน แต่พระมารดา "เจ้าคำข่ายแก้ว" เป็นราชธิดาของพญาเชียงรุ่ง เมื่อทรงครรภ์แก่ได้เสด็จประทับที่นครเชียงรุ่ง
ทรงเล่าว่าในตำนานที่เล่าขานกันมาในเชียงรุ่ง กล่าวว่า "ช่วงเวลาที่เจ้าหญิงทรงเจ็บครรภ์ เวลานั้นเกิดฝนตกฟ้าคะนอง ก่อนจะมีฟ้าผ่าเสียงดังมาก กุมารน้อยก็ประสูติออกมาจากแสงฟ้าที่สว่างวาบขึ้น จึงมีหลายคนเห็นพระกุมารทรงมี ๔ กร พระเจ้าตาจึงประทานนามพระนัดดาว่า "เจ้ามังคลนารายณ์" โหรหลวงทำนายว่า เจ้าชายจะมีเดชานุภาพ ปราบได้แคว้นใหญ่ในทิศใต้ ดังนิมิตที่มีฟ้าผ่าในทางทิศใต้
ผมแอบถวายพระสมัญญานามแด่พญามังคลนารายณ์ ที่คนไทยรู้จักในพระนาม "มังราย" เป็นดุจ "เจ้าชายแห่งสายฟ้า" คือตอนประสูติมีสายฟ้า(ผ่า)นำเสด็จ ตอนสวรรคตก็เพราะถูกสายฟ้า(ผ่า) เอาพระชนม์ชีพกลับสู่สรวงสวรรค์ ตรงจุดที่สี่แยกกลางเวียง ย่านในกำแพงเมืองนครเชียงใหม่
ช่วงปี ๒๕๑๔-๒๕๑๕ ผมมารับราชการที่เชียงใหม่ ได้เห็นศาลเพียงตาที่คงเป็นชาวบ้านแถวนั้นสร้างไว้ ณ จุดที่พญามังรายฯ สวรรคต คือ ที่สี่แยกกลางเวียง ผมเศร้าสลดใจมากที่ได้เห็นสภาพศาลเล็กๆ กระจอก ขนาดลังสบู่โทรมๆ ครั้นเมื่อวาระนครเชียงใหม่ ๗๐๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ทางราชการคงเจียดเงินให้น้อย จึงขยายพื้นที่และสร้างศาลพญามังรายฯ ได้อย่าง "ขอไปที" ถ้าเทียบกับศาลเจ้าพ่อขุนตาน ที่สร้างอยู่ริมถนนซุปเปอร์ไฮเวย์เชียงใหม่-ลำปางละก็ ศาลพญามังรายฯ เล็กและซอมซ่อกว่าหลายเท่า ทั้งๆ ที่ศาลเจ้าพ่อขุนตานนั้น สร้างเพื่อรำลึกถึง "พญาเบิก" เจ้านครลำปาง ซึ่งได้แสดงออกถึงความกตัญญู คือ เมื่อทรงทราบข่าวว่ากองทัพของพญามังรายฯ ยกมาตีนครหริภุญไชย (ลำพูน) ซึ่งพระบิดา คือ พญายีบาครองอยู่ พญาเบิกก็จัดทัพข้ามเขาขุนตานมุ่งมาช่วยพระบิดา แต่ถูกกองทัพยหน้าของพญามังรายฯ ที่มีเจ้าไชยสงครามดักตีแตกพ่าย พญาเบิกต่อสู้จนสิ้นพระชนม์ คนลำปาง-ลำพูน จึงสร้างศาลบูชาความกตัญญูของพญาเบิก หรือ "เจ้าพ่อขุนตาน"
ผมไม่คิดว่า ชาวเชียงใหม่-เชียงราย และเมืองอื่นๆ ในล้านนา จะด้อยน้ำใจขาดความกตัญญู แต่คงเพราะท่านไม่รู้ข้อมูลความจริงในประวัติศาสตร์ตอนนี้ ผมเขียนรายงานเสนอให้รู้แล้วนะครับ
จึงเป็นภารกิจหน้าที่ของเทศลาลนครเชียงใหม่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รวบรวมการบริจาคจากเศรษฐีคหบดี นักธุรกิจ และนักการเมืองชาวล้านนาช่วยกันจัดสร้างอนุสรณ์สถานรำลึกถึงพระกรุณาของพญามังรายมหาราช ผู้สร้างนครเชียงใหม่ และอาณาจักรล้านนา ซึ่งจะถึงวาระสำคัญนครเชียงใหม่ครบ ๗๒๐ ปี คือ ๖๐ รอบ ปีนักษัตรในกลางปี ๒๕๕๙ คาดว่าองค์กรต่างๆ ในเชียงใหม่ และล้านนา คงคิดจัดทำ/ดำเนินการเพื่อเฉลิมฉลองวาระสำคัญดังกล่าวแล้ว
ผมเป็นชาวลำปางพลัดถิ่นจากบ้านเกิดไปตั้งแต่ปี ๒๕๐๕ เรียนจบเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เข้ารับราชการกระทรวงพาณิชย์ เกษียณแล้วตั้งรกรากในกรุงเทพฯ เป็นข้าราชการบำนาญแก่ๆ เท่านั้น แต่ยังคงรำลึกถึงล้านนาแผ่นดินเกิด จึงขออนุญาตเสนอแนวความคิดในการสร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงพญามังรายฯ คือ
สร้างศูนย์การประชุมนานาชาติขึ้น ทำนองศูนย์ประชุม "สิริกิติ์" ในกรุงเทพฯ ไม่จำเป็นต้องรองบประมาณราชการ ให้บริษัทเอกชนฯ สร้าง หรือองค์กรในเชียงใหม่ระดมทุนจัดสร้างก็แล้วแต่ เพราะผลประโยชน์จะตกได้แก่นครเชียงใหม่ในด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ด้านวิชาการจะมีการประชุมนานาชาติได้และมากขึ้น เมื่อมีสถานที่พร้อม
*ข้อสำคัญคือ ต้องตั้งชื่อว่า ศูนย์การประชุม "มังรายมหาราช" ในวาระ ๖๐รอบปีนักษัตรของการสถาปนานครเชียงใหม่ เพื่อเป็นสิริมงคล สมควรขอพระราชทานใช้ชื่อดังกล่าวเถิด ขออย่าให้เป็นการประจบผู้มีบุญอำนาจวาสนาในปัจจุบัน จงรำลึกถึงบุญคุณของท่านผู้มีพระคุณในอดีตกาลเถิด จึงจะได้ชื่อว่า ผู้มีความกตัญญูกตเวที แท้จริง และมีคนเคารพกราบไหว้ ดังเช่น "เจ้าพ่อขุนตาน" นั้นเอง
ถ้าภาคเอกชนระดมทุนบริจาค เพื่อก่อสร้างละก็ โปรดติดต่อเอาบำนาญจากผม ยินดียกให้ ๑ เดือนครับ