คุณศุภการ น้องชายของผมมีประสบการณ์ทรมานจากโรคเก๊าต์นานนับสิบปี เสียเงินค่ารักษาโรคนี้ไปมากมายก็ไม่หายขาด เพียงแต่คุมอาการไว้ไม่ให้กำเริบ คืออย่าให้อัตรากรด "ยูริก" (Uric Acid) ขึ้นสูงเกินกว่า ๔ บางทีออกไปกินโต๊ะจีนในงานเลี้ยงซึ่งยากที่จะพ้นรัศมีอาหารแสลงโรคเก๊าต์ ทั้ง เป็ด ไก่ เครื่องในสัตว์ ถ้าหลังอาหารและก่อนนอนไม่กินยาคุมไว้ละก็ ตื่นเช้ารุ่งขึ้นแม้บุญไม่ได้หล่นทับ แต่ "ตีนก็บวม" ละครับ
เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว (๒๕๔๓) คุณภากร พิริปุญโญ ผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อยู่ซอย ๗ (อารี) ถนนพหลโยธิน เขียนจดหมายถึงผมว่า ตนป่วยเป็นโรคเก๊าต์ เผอิญวันหนึ่งลืมพกยาติดตัวมาขณะไปธุระต่างจังหวัด รุ่งขึ้น "ตีนบวม" เดชะบุญที่พักหนังสือ "ฝึกพลังลมปราณ" ที่ได้รับจากผมไปด้วย จึงอ่านและลองฝึกฯ ตามที่ผมสอนไว้ในหนังสือฯ ปรากฏว่ารุ่งขึ้น คุณภากรสามารถสม "คัทชู" ได้แล้ว ปีกลาย (๒๕๔๔) แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า คุณศุภการต้องผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดใหญ่ในหัวใจ เขาก็เข้าไปนอนรอหมอ(ชำแหละ) แต่หมอสั่งให้กลับบ้านไปเตรียมตัวมาใหม่ คือ ต้องลดน้ำหนักลงราวๆ ๑๐ กิโลกรัม และหัดหายใจให้มีพลัง เพื่อว่าหลังผ่าตัดคนไข้จะสามารถบ้วนเสมหะออกได้สะดวก
พอดีช่วงนั้นผมกลับจากต่างประเทศ ผมจึงไปสอนน้องชายลดน้ำหนักด้วยการ "ฝึกพลังลมปราณ" แทนการไป "จ๊อกกิ้ง" หรือเดินเร็วๆ เพราะผู้ที่เป็นโรคหัวใจถึงขั้นนี้ ขืนไปออกกำลังเหนื่อยๆ อาจ "ช็อก" ไปได้ การ "ฝึกพลังลมปราณ" จะไม่เหนื่อยเกินกำลังหรือบาดเจ็บ เพราะขณะฝึกฯ ก็ยืนอยู่กับที่และเคลื่อนไหวช้าๆ อีก ๓ สัปดาห์ต่อมา คุณศุภการก็เข้ารับการผ่าตัดหัวใจได้ โดยน้ำหนักลดลงและสภาพร่างกายเป็นที่วางใจของแพทย์
เมื่อวันตรุษจีนก่อน ผมกับน้องๆ และครอบครัวมาชุมนุมญาติกินข้าวกัน ผมสังเกตเห็นว่าคุณศุภการกินเป็ด กินไก่และแกงจืดเครื่องในอย่างหน้าตาเฉย ผมก็หลงภูมิใจที่ได้สอนน้องชายฝึก "พลังลมปราณ" จนพลอยทำให้เขาหายจากโรคเก๊าต์ด้วย แต่เมื่อถามเขาว่า "โรคเก๊าต์ หายแล้ว เหรอ?" น้องชายตอบว่า "หายตั้งหลายปีแล้วละ เดี๋ยวนี้กินได้หมดทั้งเครื่องในหมู เป็ด ไก่ เพียงแต่อย่าไปท้าทายมันเกินไป คือ อย่ากินทุกมื้อ หรืออย่ากินครั้งละมากๆ เกินเหตุเท่านั้นเอง!" นี่เป็นข่าวดีปีใหม่สำหรับครอบครัวผมที่มีน้องชายหายจาก "โรคเก๊าต์" เพราะเท่าที่ทราบ ยังไม่มีใครหายขาดจาก "โรคเก๊าต์" ผมจึงถามเขาว่าเขากินยาดีอะไร? ราคาเท่าไหร่?
น้องชายของผมตอบหน้าตาเฉยว่า "กินน้ำเปล่าธรรมดานี่แหละ" ฟังแล้วก็งง ผมจึงขอคำอธิบายรายละเอียด เขาจึงอธิบายว่า
น้ำเปล่า (ภาพจากเว็บไซต์) |
คุณศุภการจึงไม่ดื่มพวกน้ำชา กาแฟ น้ำอัดลม เหล้า เบียร์และไม่สูบบุหรี ตั้งหน้าตั้งตาดื่มน้ำสะอาดตามที่บัญญัติไว้ในหลักของ "สุขบัญญัติ" และดื่มน้ำสะอาดเพิ่มเติมอีกต่างหากวันละประมาณหนึ่งลิตร ผลปรากฏว่าหลายๆ เดือนผ่านไป เขาไปให้ตรวจเลือดได้ทราบว่าอัตราส่วนของ "กรดยูริก" ได้ลดลง และลดลงตามลำดับในคราวต่อๆ ไป จนกระทั่งมีอัตราต่ำกว่าระดับ ๔ ตลอดมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน ขณะนี้เขาจึงกินเป็ดไก่ และเครื่องในสัตว์ได้อย่างเช่นคนปกติ แต่ ... ต้องดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกหน่อยใน ๒ - ๓ วัน หลังจากกินของแสลงนั้นแล้ว
ฟังดูเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เหลือเชื่อ แต่ก็เป็นเรื่องจริงอีกทั้งน้องสะใภ้อีกคนที่เคยป่วยด้วย "โรคเก๊าต์" เรื้อรังนานปี บัดนี้ก็หายป่วยด้วยวิธีดื่มน้ำเปล่าตามที่คุณศุภการแนะนำเธอนั่นเอง (ปัจจุบันคุณศุภการถึงแก่กรรมด้วยไตวายเมื่ออายุ ๖๗ ปี (๒๕๕๓)
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่! ลองดื่มน้ำดูแล้วจะรู้ดี! ดื่มเพิ่มจากที่เคยดื่มปกติอีกวันละลิตร! ความดันโลหิตก็ลดลงด้วย