Friday, August 11, 2017

รักษาโรคเก๊าต์ด้วยน้ำเปล่าวันละลิตร

               แม้โรคเก๊าต์จะไม่ร้ายแรงเท่าโรคหัวใจ  แต่เวลาโรคเก๊าต์กำเริบก็อาจทำให้ผู้ป่วย "เสียฟอร์ม" ได้  ผู้ป่วยโรคเก๊าต์ส่วนใหญ่จะเกิดอาการขัดบวมตามข้อกระดูกต่างๆ จนบางคนสวมรองเท้าหนังหุ้มส้น/คัทชูไม่ได้  บางท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ออกงานสำคัญจำเป็นต้องใส่ถุงเท้าสวมรองเท้าแตะ  ดูไปคล้ายขุนนางญี่ปุ่นโบราณ

               คุณศุภการ น้องชายของผมมีประสบการณ์ทรมานจากโรคเก๊าต์นานนับสิบปี  เสียเงินค่ารักษาโรคนี้ไปมากมายก็ไม่หายขาด  เพียงแต่คุมอาการไว้ไม่ให้กำเริบ  คืออย่าให้อัตรากรด "ยูริก" (Uric Acid) ขึ้นสูงเกินกว่า ๔  บางทีออกไปกินโต๊ะจีนในงานเลี้ยงซึ่งยากที่จะพ้นรัศมีอาหารแสลงโรคเก๊าต์ ทั้ง เป็ด ไก่ เครื่องในสัตว์  ถ้าหลังอาหารและก่อนนอนไม่กินยาคุมไว้ละก็  ตื่นเช้ารุ่งขึ้นแม้บุญไม่ได้หล่นทับ  แต่ "ตีนก็บวม" ละครับ

                 เมื่อ ๒ ปีที่แล้ว (๒๕๔๓)  คุณภากร พิริปุญโญ  ผู้จัดการบริษัทเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ อยู่ซอย ๗ (อารี) ถนนพหลโยธิน  เขียนจดหมายถึงผมว่า  ตนป่วยเป็นโรคเก๊าต์  เผอิญวันหนึ่งลืมพกยาติดตัวมาขณะไปธุระต่างจังหวัด  รุ่งขึ้น "ตีนบวม"  เดชะบุญที่พักหนังสือ "ฝึกพลังลมปราณ" ที่ได้รับจากผมไปด้วย  จึงอ่านและลองฝึกฯ ตามที่ผมสอนไว้ในหนังสือฯ ปรากฏว่ารุ่งขึ้น คุณภากรสามารถสม "คัทชู" ได้แล้ว    ปีกลาย (๒๕๔๔)  แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี  ตรวจแล้ววินิจฉัยว่า  คุณศุภการต้องผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดใหญ่ในหัวใจ  เขาก็เข้าไปนอนรอหมอ(ชำแหละ)  แต่หมอสั่งให้กลับบ้านไปเตรียมตัวมาใหม่  คือ ต้องลดน้ำหนักลงราวๆ ๑๐ กิโลกรัม และหัดหายใจให้มีพลัง  เพื่อว่าหลังผ่าตัดคนไข้จะสามารถบ้วนเสมหะออกได้สะดวก

                  พอดีช่วงนั้นผมกลับจากต่างประเทศ  ผมจึงไปสอนน้องชายลดน้ำหนักด้วยการ "ฝึกพลังลมปราณ"  แทนการไป "จ๊อกกิ้ง" หรือเดินเร็วๆ  เพราะผู้ที่เป็นโรคหัวใจถึงขั้นนี้  ขืนไปออกกำลังเหนื่อยๆ อาจ "ช็อก" ไปได้  การ "ฝึกพลังลมปราณ"  จะไม่เหนื่อยเกินกำลังหรือบาดเจ็บ  เพราะขณะฝึกฯ ก็ยืนอยู่กับที่และเคลื่อนไหวช้าๆ   อีก ๓ สัปดาห์ต่อมา  คุณศุภการก็เข้ารับการผ่าตัดหัวใจได้  โดยน้ำหนักลดลงและสภาพร่างกายเป็นที่วางใจของแพทย์

                  เมื่อวันตรุษจีนก่อน  ผมกับน้องๆ และครอบครัวมาชุมนุมญาติกินข้าวกัน  ผมสังเกตเห็นว่าคุณศุภการกินเป็ด กินไก่และแกงจืดเครื่องในอย่างหน้าตาเฉย  ผมก็หลงภูมิใจที่ได้สอนน้องชายฝึก "พลังลมปราณ" จนพลอยทำให้เขาหายจากโรคเก๊าต์ด้วย  แต่เมื่อถามเขาว่า "โรคเก๊าต์ หายแล้ว เหรอ?"  น้องชายตอบว่า  "หายตั้งหลายปีแล้วละ  เดี๋ยวนี้กินได้หมดทั้งเครื่องในหมู  เป็ด  ไก่  เพียงแต่อย่าไปท้าทายมันเกินไป คือ อย่ากินทุกมื้อ หรืออย่ากินครั้งละมากๆ  เกินเหตุเท่านั้นเอง!"   นี่เป็นข่าวดีปีใหม่สำหรับครอบครัวผมที่มีน้องชายหายจาก "โรคเก๊าต์"  เพราะเท่าที่ทราบ  ยังไม่มีใครหายขาดจาก "โรคเก๊าต์" ผมจึงถามเขาว่าเขากินยาดีอะไร? ราคาเท่าไหร่?

                   น้องชายของผมตอบหน้าตาเฉยว่า "กินน้ำเปล่าธรรมดานี่แหละ"  ฟังแล้วก็งง  ผมจึงขอคำอธิบายรายละเอียด เขาจึงอธิบายว่า

น้ำเปล่า (ภาพจากเว็บไซต์)
     ผู้ป่วยโรคเก๊าต์ส่วนใหญ่ดื่มน้ำน้อย  บางคนทั้งวันไม่ได้ดื่มน้ำเลยแม้แต่หยดเดียว  แต่หลงเข้าใจว่าตนดื่มน้ำมากมายตลอดวัน  แท้ที่จริงเขาดื่มน้ำชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  น้ำส้ม  ฯลฯ  แต่ไม่ได้ดื่มน้ำ (water) แม้แต่หยดเดียว  จึงไม่มี "น้ำ H𝟸O"  ไปช่วยทำให้ "กรดยูริก Uric Acid" เจือจางลงเลย  ซ้ำร้ายอาหารที่บริโภคเข้าไปแต่ละมื้อๆ อาจจะมีส่วนสร้าง "กรดยูริก" เพิ่มขึ้นในกระแสเลือดอีก ดังนั้น ความเจ็บป่วยจึงคงเรื้อรังต่อไปไม่รู้จักหาย
           

                   คุณศุภการจึงไม่ดื่มพวกน้ำชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  เหล้า  เบียร์และไม่สูบบุหรี  ตั้งหน้าตั้งตาดื่มน้ำสะอาดตามที่บัญญัติไว้ในหลักของ "สุขบัญญัติ"  และดื่มน้ำสะอาดเพิ่มเติมอีกต่างหากวันละประมาณหนึ่งลิตร   ผลปรากฏว่าหลายๆ เดือนผ่านไป  เขาไปให้ตรวจเลือดได้ทราบว่าอัตราส่วนของ "กรดยูริก" ได้ลดลง  และลดลงตามลำดับในคราวต่อๆ ไป  จนกระทั่งมีอัตราต่ำกว่าระดับ ๔ ตลอดมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน   ขณะนี้เขาจึงกินเป็ดไก่ และเครื่องในสัตว์ได้อย่างเช่นคนปกติ  แต่ ... ต้องดื่มน้ำสะอาดเพิ่มขึ้นกว่าปกติอีกหน่อยใน ๒ - ๓ วัน  หลังจากกินของแสลงนั้นแล้ว

                   ฟังดูเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์เหลือเชื่อ  แต่ก็เป็นเรื่องจริงอีกทั้งน้องสะใภ้อีกคนที่เคยป่วยด้วย "โรคเก๊าต์" เรื้อรังนานปี  บัดนี้ก็หายป่วยด้วยวิธีดื่มน้ำเปล่าตามที่คุณศุภการแนะนำเธอนั่นเอง (ปัจจุบันคุณศุภการถึงแก่กรรมด้วยไตวายเมื่ออายุ ๖๗ ปี (๒๕๕๓)

                   ไม่เชื่ออย่าลบหลู่!  ลองดื่มน้ำดูแล้วจะรู้ดี!  ดื่มเพิ่มจากที่เคยดื่มปกติอีกวันละลิตร! ความดันโลหิตก็ลดลงด้วย