ตั้งแต่ประมาณอายุ ๕๐ ปีมาแล้วที่ผมรู้สึกปลงสังขารว่าเสื่อมลงไปมาก นอกจากโรคภูมิแพ้ หอบหืดที่เรื้อรังมาแต่เด็กจนแก่และนอนกรนทั้งหลายนี้ คือ กลุ่มโรคทางเดินหายใจซึ่งถ้ากำเริบมากหรือกำเริบกระทันหันไปถึงหมอไม่ทัน ก็มีคนตายได้ง่ายๆ กว่าเป็นมะเร็งด้วย ก่อนผมอายุได้ ๕๐ ปีไม่กี่เดือน ผมได้เข้าตรวจโรคที่โรงพยาบาลราชวิถีโดยไม่ตั้งใจ เพราะผมคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรมาก ก็ผมขับรถผ่านโรงพยาบาลเพื่อพาภรรยาไปเข้าประชุมที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ที่ถนนรัชดาภิเษก แต่เมื่อผ่านมาใกล้โรงพยาบาล ภรรยาของผมก็เกลี้ยกล่อมให้ผมแวะเข้าไปให้หมอตรวจสุขภาพ เธอติดต่อกับเจ้าหน้าที่ไว้แล้ว
เมื่อถึงขนาดนี้แล้ว ขืนผมไม่ลงไปหาหมอละก็ ต้องโดนคุณครูจงจิต (ภรรยาของผมน่ะ) ทำโทษไม่รู้ด้วยนะ เธอต่อแท็กซี่ไปประชุมเอง ให้ผมไปพบพยาบาลตามที่นัดไว้ให้ ผมขับรถวนไปวนมากว่าจะหาที่จอดได้ พอเข้าห้องตรวจวัดความดันโลหิต จึงขึ้น ๒๒๐ (ตัวบน) ๙๐ (ตัวล่าง) หัวใจเต้น ๘๒ ครั้ง/นาที คุณหมอเห็นเกณฑ์ความดันของผมก็สั่งจัดเตียงในห้องฉุกเฉินให้ผมนอนราบนิ่งๆ ทันที หมอบ่นว่าความดันสูงขนาดนี้ทำไมเพิ่งมา เส้นเลือดพร้อมจะแตกได้ทุกเวลานะนี่
ผมนอนนานชั่วโมงเศษชักเคลิ้มๆ แต่พอเที่ยงวันเศษก็เริ่มหิว ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่เฝ้า ผมจึงย่องไปกินข้าวที่โรงอาหารแล้วกลับมานอนต่อจนผู้ปกครองมาเจรจากับหมอขอรับคนขับรถ (กิตติมศักดิ์) กลับไปทำหน้าที่ก่อน สัญญาว่าเมื่อได้จัดเตรียมการดีแล้วจะส่งมานอนประจำที่โรงพยาบาลให้ตรวจเต็มที่สัก ๗ - ๑๐ วัน คุณหมอก็ดีใจหาย ติดต่อขอจองห้องให้ได้เป็นห้อง ๖ เตียงไม่มีเครื่องปรับอากาศ ราวต้นมกราคม ๒๕๓๔ ผมจึงไปนอนโรงพยาบาลเป็นครั้งที่ ๒ ในชีวิต ผลการตรวจละเอียดพบว่า ผมป่วยเป็นลิ้นหัวใจรั่ว ภายหลังพบอีกว่าเส้นเลือดใหญ่ในกล้ามเนื้อหัวใจตีบอีก ๒ เส้น
สังขารที่เสื่อมและมีโรคร้ายแรงที่อยู่ในอันดับแรกๆ ของโรคที่มีคนตายมาก ทำให้ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องต่อมลูกหมากเสื่อมเลย ทั้งๆ ที่ตลอดเวลาราว ๑๐ ปี ผมมีอาการกลั้นปัสสาวะไม่ได้นานสัก ๒ - ๓ ชั่วโมงก็ต้องไปปลดทุกข์ กลางคืนก็ลำบากที่ต้องฝันร้ายบ่อยๆ เพื่อจะได้ตื่นไปปัสสาวะ ถ้าอากาศหนาวเย็นก็ปัสสาวะบ่อยครั้ง นอกจากนั้นแรงปัสสาวะก็ลดลงจนเวลาปฏิบัติการต้องยืนชิดๆ โถ เพื่อไม่ให้น้ำปัสสาวะหกลงพื้น ไม่เพียงปัสสาวะไม่ค่อยออก ครั้นยืนปัสสาวะอยู่นานจนไม่มีน้ำหยดออกมาแล้วก็ตาม พอรูดซิปเสร็จก็ยังรู้สึกว่าปัสสาวะยังไม่เสร็จ
ปัญหาอาการ "ต่อมลูกหมากเสื่อม" นี้ ผมเป็นมาตั้ง ๑๐ ปีแล้ว แต่เพราะผมป่วยด้วยโรคร้ายแรงกว่าอีก ๒ - ๓ โรค จนเคยเป็นอัมพฤกษ์ถึง ๔๒ วัน เมื่อปลายปี ๒๕๓๘ มาแล้ว ครั้นเดือนเมษายน ๒๕๔๒ ผมได้พบปาฏิหาริย์จากการฝึกพลังลมปราณ เมื่อผมฝึกฯ ทุกวัน วันละครั้ง ทำให้สุขภาพของผมฟื้นฟูแข็งแรงจนโรคเรื้อรังทั้งหลายหายหมด คือ ภูมิแพ้ หวัด ไข้หวัด หอบหืด นอนกรน คงเหลือแต่ลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งนายแพทย์พูลชัย จิตอนันต์วิทยาผู้รักษาผมยืนยันว่า สภาพหัวใจของผมดีขึ้นมาก ไม่จำเป็นต้องรอผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจดังเช่นสภาพเมื่อกลางปี ๒๕๓๘ ซึ่งผมเคยเข้านอนรอผ่าตัดที่โรงพยาบาลราชวิถีมาแล้ว ครั้งนั้นก็ไม่ได้ผ่าตัดเพราะมีเส้นเลือดใหญ่ตีบที่อันตรายกว่า ต้องรีบ "ทำบอลลูน" ทันที
นับแต่เดือนเมษายน ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ผมก็คลายความทุกข์จากโรคร้ายๆ ไปเรื่อยๆ ไม่นานผมกลับเป็นผู้ริเริ่มและเผยแพร่ "การฝึกพลังลมปราณ" เพื่อพิชิตโรค ผมพิมพ์หนังสือเผยแพร่ไปทั่วประเทศ ทั้งได้รับเชิญไปบรรยายและสาธิตการฝึกพลังลมปราณตามองค์กร หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้ผมลืมเรื่อง "ต่อมลูกหมากเสื่อม" ไปอีกเป็นปี จนกระทั่งภรรยาของผมกลับมาจากอเมริกา หลังจากไปอยู่ดูแลลูกสาวนานหลายเดือน พอกลับมาไม่กี่วันเธอก็ไปหาหมอที่ "คลินิกสตรีวัยทอง" ของโรงพยาบาลรามาธิบดี กลับมาบ้านเธอก็บอกข่าวดีว่าทางโรงพยาบาลได้เปิด "คลินิกบุรุษวัยทอง" แล้ว คนไข้ยังไม่มาก คราวหน้าเธอจะไปขอคิวนัดตรวจ "ต่อมลูกหมาก" ให้ผมบ้าง
พระบอก" ดูก่อน แล้วผมก็นำบันทึกของพระภิกษุพิมพ์แทรกในหนังสือ "วิทยาศาสตร์การหายใจ" ที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯ ได้แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษชื่อ Science of Breath by Yogi Ramacharaka พิมพ์เมื่อ ค.ศ. 1904 ที่สหรัฐอเมริกา
บันทึกนั้นมีใจความว่า
พิชิตต่อมลูกหมากโต
"เมื่อประมาณเกือบ ๑๐ ปีมาแล้ว ผู้เขียนมีอาการปวดในท่อปัสสาวะมาก ถ่ายปัสสาวะไม่ค่อยออก นอกจากจะถ่ายออกมาเป็นหยดๆ แล้ว ภายในท่อปัสสาวะก็ปวดมาก จึงต้องไปพึ่งหมออีก ก็เป็นหมอเจ้าเก่า คือ คุณหมอสุดชาย ปันยารชุน ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์ (ในขณะนั้น) ซึ่งเป็นผู้มีเมตตาต่อผู้เขียนเป็นอย่างดีมาช้านาน
คุณหมอได้ตรวจแล้วบอกว่า เป็นโรคต่อมลูกหมากโต แต่เป็นในระยะเริ่มต้น ควรจะผ่าตัดเอาออกเสียเลย ผู้เขียนก็ต่อรองว่าตอนนั้นอีกสองวันจะเข้าพรรษา รอให้เข้าพรรษาแล้ว จะสัตตาหะมาผ่า ซึ่งทางหมอบอกว่าโรคนี้ยังไม่มียารักษา มีแต่การผ่าตัดอย่างเดียวเท่านั้น
ก่อนที่จะกลับสำนักที่ราชบุรี ก็ได้โทรศัพท์ไปคุยกับท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฎก ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียน ทุกครั้งที่โทร. ไป ท่านก็มักจะถามถึงสุขภาพอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน พอโทร. ถึงท่าน ท่านก็ถามถึงสุขภาพก่อนอื่นเหมือนจะรู้ใจ ก็ได้กราบเรียนท่านว่า ได้มาโรงพยาบาลเพื่อจะผ่าตัดต่อมลูกหมากโต ท่านก็ได้พูดขึ้นทันทีว่า เมื่อสองวันมานี้ คุณโยมยุพนา ธรรมโกวิท ได้บอกวิธีรักษาต่อมลูกหมากโตให้โดยใช้ผักบุ้งจีนกับน้ำผึ้งแท้ ท่านถามว่าจะลองดูไหม? ผู้เขียนก็ได้ตอบท่านไปโดยไม่ลังเลว่าเต็มใจที่จะลองดู เพราะมั่นใจว่า ถึงโรคต่อมลูกหมากโตจะไม่หาย ก็คงจะไม่เป็นอะไร เพราะทั้งผักบุ้งจีนและน้ำผึ้งก็เคยฉันอยู่แล้ว
ก่อนกลับที่พักจึงได้ซื้อผักบุ้งจีนมาด้วย ๑ กิโล โดยแบ่งกินเป็น ๓ วัน กินวันละ ๑ มื้อก็หมดพอดี พอมาถึงกุฏิก็เริ่มทำกิน โดยเอาผักบุ้งจีนไปล้าง แล้วตัดเอารากออก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่กาน้ำต้มโดยใส่น้ำเพียงเล็กน้อย พอสุกแล้วยกลง ตักออก เอาน้ำผึ้งแท้ใส่ลงไป ๒ ช้อนแกง คนให้เข้ากันดีแล้วก็ฉันจนหมดทั้งเนื้อทั้งน้ำ เหลืออีกสองส่วนก็เอาไว้ฉันในวันต่อไป
พอเช้ามืดตื่นขึ้นมาปัสสาวะ เอ๊ะ! รู้สึกว่าถ่ายคล่องขึ้น อาการปวดแสบในลำกล้องก็น้อยลง ดูน่าจะเข้าท่า ก็เลยทำฉันอีกสองวันก็หายเป็นปกติ เลยสั่งให้เขาซื้อมาอีก ๑ กิโล ทำฉันเช่นเดิมอีก ๓ วัน ก็หายมาเป็นเวลา ๑ ปี ก็เริ่มมาเป็นอีก ก็ทำฉันอย่างเดิมก็หายอีก จนครั้งที่สามเมื่อ ๒ ปีมานี้เริ่มจะเป็นอีก ก็ทำฉันอีกก็หายมาจนบัดนี้
คุณหมอได้กล่าวว่า ชายที่สูงอายุจะต้องเป็นโรคต่อมลูกหมากโตแทบทุกคน และในปัจจุบันยารักษาโรคนี้ก็ยังไม่มี มีแต่ยาระงับปวด ทางหายของโรคนี้จึงมีทางเดียว คือ ผ่าตัดเอาออกเท่านั้นเอง
ข้อควรอนุสติคือ น้ำผึ้ง จะต้องเป็นน้ำผึ้งแท้ ไม่ใช่น้ำผึ้งมิ้น น้ำผึ้งที่แท้และราคาถูก คือ น้ำผึ้งของโครงการหลวง มีขายตามร้านค้าทั่วไป"
วันเสาร์และอาทิตย์ ผมจึงแปรการกินอาหารคนเป็น "อาหารเต่า" คือ กินผักบุ้งต้มใส่น้ำผึ้งตลอด ๒ วัน โดยภรรยาของผมไปซื้อผักบุ้งจีนวันละ ๑ กิโลกรัม
ภาพจากเว็บไซต์ OK Nation TV |
ตัวอย่างน้ำผึ้งแท้ |
เช้าวันจันทร์ ผมตื่นเช้าเข้าห้องส้วมก็รับรู้อย่างดีใจว่า อาการก๊อกอุดตัน และก๊อกรั่วหยด หายไปอย่างน่ามหัศจรรย์ ผมอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว รายงานผลของการกินยาพระบอกให้ภรรยาทราบว่า ยาขนานนี้ดีกว่า ยาผีบอกแน่นอน
พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) เมื่อเป็นฆราวาสได้ศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ เข้ารับราชการในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ ๖ ท่านมีความก้าวหน้าในราชการอย่างรวดเร็วจนได้ดำรงยศถึงชั้น พระยานรรัตน์ราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) เมื่ออายุเพียง ๒๘ ปี แต่ก็สิ้นรัชกาลในปีต่อมา ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพฯ นั้น พระยานรรัตน์ราชมานิตได้อุทิศตนอุปสมบท ณ วัดเทพศิรินทราวาสตลอดอายุขัย
ท่านเจ้าคุณนรฯ |
วัตถุมงคลต่างๆ ที่ท่านสร้างไว้มีทั้งเหรียญรูปเหมือนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรมหาเถระ) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ กับเหรียญรูปเหมือนของตัว "ท่านเจ้าคุณนรฯ" เอง ล้วนเป็นที่ต้องการของนักสะสมวัตถุมงคลมากๆ ราคาเรือนแสนขึ้นไปก็มี