เพราะเสือโคร่ง ซึ่งมีสมญานามว่า "เจ้าป่า" กำลังจะสูญพันธ์ุจากป่าหรือจากโลก กลุ่มคนเลวทรามใจบาปหยาบช้าพากันล่าและตัดเอาอวัยวะเพศเสือตัวผู้ไปขายให้พวก "จิตวิปริต" ที่เผอิญมีเงิน จึงรับซื้อในราคาสูงลิ่ว เพื่อนำไปตุ๋นใส่เครื่องยาจีนกิน โดยหลงผิดคิดว่าเป็นยาเพิ่มพลังทางเพศ แท้จริงไม่ใช่เลย ถ้าการกินอวัยวะเพศเสือแล้วทำให้เพิ่มพลังอย่างนั้นจริง ก็ไม่ต้องไปล่าเสือ คอยล่าเอาอวัยวะเพศของคนที่กินอวัยวะเพศของเสือมาตุ๋นกิน จะง่ายกว่าและน่าจะมีพลังมากกว่า ข้อสำคัญคนกินยาสูตรพิลึกเช่นนี้ อายุไม่ถึง ๖๐ ปี ก็ตายหมดด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดแตก มะเร็ง และไตวาย
แท้ที่จริงแล้ว การที่เสือโคร่งและสิงโตแข็งแรงมากถึงขนาดล้มสัตว์ป่าตัวโตกว่า หนักกว่ามัน ๔-๕ เท่าได้นั้นเพราะเหตุใด? ผมขอตอบแทนเสือและสิงโตว่า เพราะ
๑. เสือและสิงโตไม่ตะกละ กินอย่างสมถะพอเพียง
๒. เสือและสิงโตฝึก "พลังลมปราณ" ตลอดเวลาที่มันตื่นอยู่ และสำแดงพลังลมปราณโดยการคำราม
หลายท่านฟังแล้ว จะพากันหัวเราะเยาะผมจนขำกลิ้งก็เชิญ
เสือและสิงโตเป็น "เจ้าป่า" แน่นอน เสือเป็น "จ้าวป่า" ในทวีปเอเซีย ส่วนสิงโตเป็นจ้าวป่าในอาฟริกา สัตว์ทั้งสองนี้มีพลานุภาพที่จะไล่ฆ่าฟันสัตว์น้อยวันละ ๑๐๐ ชีวิตก็ทำได้ แต่เพราะมันสมถะ จึงล่าสัตว์อื่นเฉพาะเท่าที่จำเป็นกินเพื่อดำรงชีพ ไม่กินตะกละมูมมาม กินทิ้งกินขว้างเหมือนคนบางคนที่จิตทรามต่ำกว่าสัตว์ ตะกละตะกรามกินดะไปทุกอย่าง จะกล่าวเฉพาะ "เสือ" เมื่อมันล่าเหยื่อได้และกินมื้อแรกพออิ่มแล้ว มันจะลากเหยื่อที่เหลือไปเก็บไว้เพื่อกินในวันต่อๆ ไป ถึงวันท้ายๆ ซากเหยื่อเน่ามีหนอนยั้วเยี้ย เสือก็ยังกินจนทรากหมดเนื้อเหลือกระดูก มันจึงทิ้งและค่อยล่าเหยื่อรายต่อไป
เสือและสิงโตแข็งแรงมากเพราะการฝึก "พลังลมปราณ" ก็คือ ธรรมชาติที่สอนพวกมันตั้งแต่มีเสือและสิงโตเกิดขึ้นในโลกนี้ให้รู้จักการ "คำราม" เสียงคำรามทุกครั้ง คือ การขับพ่นคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอดในปริมาณมากที่สุดยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ หรือมนุษย์จะทำได้ กาซคาร์บอนไดออกไซด์แปรสภาพมาจากอ็อกซิเจนที่คน หรือสัตว์ต่างหายใจเข้าไป เพื่อนำไปฟอกเลือดดำให้กลับเป็นเลือดแดง มนุษย์หรือสัตว์ที่มีเกล็ดเลือดแดงมากกว่าก็ย่อมแข็งแรงกว่า ดังนั้น พอเสือหรือสิงโตพ่นคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอดไปหมด พอหายใจเฮือกกลับก็จะได้รับอ็อกซิเจนไหลกลับเข้าไปแทนที่ว่างในปอดซึ่งว่างมากที่สุด และฟอกเลือดได้ในอัตราสูงสุด
ผู้ที่ฝึกพลังการหายใจเอาลมปราณ จะหายใจออกมีเสียงดังเกือบเท่าเสือคำราม ความจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่ผมคิดเอาเอง แต่มหาโยคีผู้สอนวิชาโยคะ ตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาลก็ย่อมได้ศึกษา สังเกตและนำไปฝึกฯ จนชำนาญและสั่งสอนโยคี รุ่นต่อๆ มา หลายร้อยปีจนสืบมาถึงยุคสิทธัตถะกุมาร มีสำนักสอนวิชาโยคะและวิชาการต่างๆ มีชื่อเสียงที่สุด ชื่อ สำนักวิศวามิตร มีพระอาจารย์ ๒ รูป ชื่อ อุทกดาบส และอาฬาฬดาบส ที่สิทธัตถะกุมารฝากตัวเป็นศิษย์ แน่นอนที่ต้องสอนทุกสาขาวิชารวมทั้งการฝึกการหายใจตามหลักวิชาโยคะของอินเดียดั้งเดิม สิทธัตถะกุมารก็ย่อมชำนาญวิชาโยคะและการหายใจเอาพลังลมปราณ
ครั้นเมื่อสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและประกาศศาสนาพุทธขึ้นแล้ว กาลเวลาผ่านมานับพันปี เกิดมีศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ชื่อ "วัชรยานนิกาย หรือนิกายวัชรยาน" ได้ส่งพระภิกษุจากอินเดียรูปหนึ่งชื่อ ธรรมโมภิกษุ สมณศักดิ์ที่พระโพธิธรรมมหาเถระเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายนี้ที่เมืองจีน ราชสำนักจีนให้ไปสร้างวัดอยู่ที่ป่าละเมาะบนเนินเขา นอกเมืองลั่วหยาง(ในเรื่อง สามก๊ก ออกเสียงว่าเมืองลกเอี๋ยง/โจโฉ) รู้จักกันว่า "วัดเส้าหลิน" หรือ เสี่ยวลิ้มยี่ คนจีนเรียกนามเจ้าสำนักว่า "อาจารย์ ตั้กม้อ" เพราะออกเสียงธรรมโมไม่ได้ ครั้งนั้นราว พ.ศ. ๑๐๖๗ ประเทศจีนเกิดการช่วงชิงอำนาจกัน ทำให้ราชวงศ์ และรัชกาลต่างๆ อยู่ในช่วงสั้นๆ เฉลี่ย ๒ รัชกาล/ ราชวงศ์
ครั้งหนึ่งในปลายราชวงศ์สุย เกิดจลาจลแย่งชิงอำนาจกันไปทั่วแผนดิน แบ่งเป็นสิบๆ ก๊ก พลบค่ำวันหนึ่ง ขุนศึก ๒ คนสู้รบกัน คนแพ้หนีมาและหลบเข้าไปในวัดพร้อมปิดประตูขังตัวอยู่ในนั้น ฝ่ายไล่ล่าก็ชักม้าวนไปรอบนอกกำแพง เพื่อหาช่องที่จะปีนกำแพงเข้าไปฆ่าคู่อริ
ปรมาจารย์ตั้กม้อ |
ผู้ไล่ล่า คือ เจ้าเมืองลั่วหยางชื่อ "หวังซื่อชง" (ในเรื่อง ซุยถังเขียนว่า เฮ้งสีฉ้วง) กับม้าตะลึงเข้าใจว่าเสือโคร่งคำราม มองขึ้นไป (ในเวลาพลบค่ำ) เห็นจีวรเหลืองๆ และประกายตา(แขก)ที่คมกล้าก็เข้าใจว่าเสือแน่ ทั้งม้าและคนจึงเผ่นหนีลงเขากลับเข้าเมืองไป พระอาจารย์ตั้กม้อ จึงให้เหล่าศิษย์ที่มีฝีมือคุ้มครองผู้มาพึ่ง ข้ามแม่น้ำฮวงโหกลับไปยังฐานทัพของตนโดยปลอดภัย ต่อมาอีกหลายปี ผู้ถูกไล่ล่าครั้งนั้น กลับช่วงชิงชัยชนะได้เด็ดขาด และหนุนส่งพระบิดาตั้งราชวงศ์ถัง และสืบราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๒ ทรงพระนาม จักรพรรดิ ถังไท้จง (มหาราช) นามเดิมหลี่ซื่อหมิง
ถังไท้จงจักรพรรดิ |
ปรมาจารย์จาง ซันฟง
Cr. from website
|
ท่านจาง ซันฟง (เตียซำฮง) ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊ง ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ อายุ ๑๐๒ ปี ยังฝึกวิชามวยไท้เก๊ก และฝึกพลังลมปราณขั้นสูงสุดสำเร็จ และถ่ายทอดให้ศิษย์ได้จึงอายุยืนและแข็งแรงเช่นนั้นได้