Friday, October 27, 2017

ทำอย่างไรให้แข็งแรงตามแบบ "เสือ"

        ท่านไม่เคยเห็น "เสือโคร่ง หรือเสือลายพาดกลอน" ตัวเป็นๆ ในป่าก็ไม่เป็นเรื่องแปลกหรอก

เพราะเสือโคร่ง ซึ่งมีสมญานามว่า "เจ้าป่า" กำลังจะสูญพันธ์ุจากป่าหรือจากโลก  กลุ่มคนเลวทรามใจบาปหยาบช้าพากันล่าและตัดเอาอวัยวะเพศเสือตัวผู้ไปขายให้พวก "จิตวิปริต" ที่เผอิญมีเงิน  จึงรับซื้อในราคาสูงลิ่ว  เพื่อนำไปตุ๋นใส่เครื่องยาจีนกิน  โดยหลงผิดคิดว่าเป็นยาเพิ่มพลังทางเพศ  แท้จริงไม่ใช่เลย  ถ้าการกินอวัยวะเพศเสือแล้วทำให้เพิ่มพลังอย่างนั้นจริง  ก็ไม่ต้องไปล่าเสือ  คอยล่าเอาอวัยวะเพศของคนที่กินอวัยวะเพศของเสือมาตุ๋นกิน  จะง่ายกว่าและน่าจะมีพลังมากกว่า  ข้อสำคัญคนกินยาสูตรพิลึกเช่นนี้  อายุไม่ถึง ๖๐ ปี  ก็ตายหมดด้วยโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน เส้นเลือดแตก มะเร็ง และไตวาย

        แท้ที่จริงแล้ว  การที่เสือโคร่งและสิงโตแข็งแรงมากถึงขนาดล้มสัตว์ป่าตัวโตกว่า  หนักกว่ามัน ๔-๕ เท่าได้นั้นเพราะเหตุใด?  ผมขอตอบแทนเสือและสิงโตว่า  เพราะ

๑.  เสือและสิงโตไม่ตะกละ  กินอย่างสมถะพอเพียง
๒.  เสือและสิงโตฝึก "พลังลมปราณ" ตลอดเวลาที่มันตื่นอยู่  และสำแดงพลังลมปราณโดยการคำราม

หลายท่านฟังแล้ว  จะพากันหัวเราะเยาะผมจนขำกลิ้งก็เชิญ

        เสือและสิงโตเป็น "เจ้าป่า" แน่นอน  เสือเป็น "จ้าวป่า" ในทวีปเอเซีย  ส่วนสิงโตเป็นจ้าวป่าในอาฟริกา  สัตว์ทั้งสองนี้มีพลานุภาพที่จะไล่ฆ่าฟันสัตว์น้อยวันละ ๑๐๐ ชีวิตก็ทำได้  แต่เพราะมันสมถะ  จึงล่าสัตว์อื่นเฉพาะเท่าที่จำเป็นกินเพื่อดำรงชีพ  ไม่กินตะกละมูมมาม  กินทิ้งกินขว้างเหมือนคนบางคนที่จิตทรามต่ำกว่าสัตว์ ตะกละตะกรามกินดะไปทุกอย่าง  จะกล่าวเฉพาะ "เสือ" เมื่อมันล่าเหยื่อได้และกินมื้อแรกพออิ่มแล้ว  มันจะลากเหยื่อที่เหลือไปเก็บไว้เพื่อกินในวันต่อๆ ไป  ถึงวันท้ายๆ ซากเหยื่อเน่ามีหนอนยั้วเยี้ย  เสือก็ยังกินจนทรากหมดเนื้อเหลือกระดูก  มันจึงทิ้งและค่อยล่าเหยื่อรายต่อไป

        เสือและสิงโตแข็งแรงมากเพราะการฝึก "พลังลมปราณ"  ก็คือ ธรรมชาติที่สอนพวกมันตั้งแต่มีเสือและสิงโตเกิดขึ้นในโลกนี้ให้รู้จักการ "คำราม"  เสียงคำรามทุกครั้ง คือ การขับพ่นคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอดในปริมาณมากที่สุดยิ่งกว่าสัตว์ใดๆ หรือมนุษย์จะทำได้  กาซคาร์บอนไดออกไซด์แปรสภาพมาจากอ็อกซิเจนที่คน หรือสัตว์ต่างหายใจเข้าไป  เพื่อนำไปฟอกเลือดดำให้กลับเป็นเลือดแดง  มนุษย์หรือสัตว์ที่มีเกล็ดเลือดแดงมากกว่าก็ย่อมแข็งแรงกว่า  ดังนั้น  พอเสือหรือสิงโตพ่นคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากปอดไปหมด  พอหายใจเฮือกกลับก็จะได้รับอ็อกซิเจนไหลกลับเข้าไปแทนที่ว่างในปอดซึ่งว่างมากที่สุด  และฟอกเลือดได้ในอัตราสูงสุด

        ผู้ที่ฝึกพลังการหายใจเอาลมปราณ  จะหายใจออกมีเสียงดังเกือบเท่าเสือคำราม  ความจริงเรื่องนี้  ไม่ใช่ผมคิดเอาเอง  แต่มหาโยคีผู้สอนวิชาโยคะ  ตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาลก็ย่อมได้ศึกษา  สังเกตและนำไปฝึกฯ จนชำนาญและสั่งสอนโยคี รุ่นต่อๆ มา หลายร้อยปีจนสืบมาถึงยุคสิทธัตถะกุมาร  มีสำนักสอนวิชาโยคะและวิชาการต่างๆ  มีชื่อเสียงที่สุด ชื่อ สำนักวิศวามิตร  มีพระอาจารย์ ๒ รูป ชื่อ อุทกดาบส และอาฬาฬดาบส  ที่สิทธัตถะกุมารฝากตัวเป็นศิษย์  แน่นอนที่ต้องสอนทุกสาขาวิชารวมทั้งการฝึกการหายใจตามหลักวิชาโยคะของอินเดียดั้งเดิม  สิทธัตถะกุมารก็ย่อมชำนาญวิชาโยคะและการหายใจเอาพลังลมปราณ

        ครั้นเมื่อสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและประกาศศาสนาพุทธขึ้นแล้ว  กาลเวลาผ่านมานับพันปี  เกิดมีศาสนาพุทธลัทธิมหายาน ชื่อ "วัชรยานนิกาย หรือนิกายวัชรยาน"  ได้ส่งพระภิกษุจากอินเดียรูปหนึ่งชื่อ ธรรมโมภิกษุ  สมณศักดิ์ที่พระโพธิธรรมมหาเถระเข้าไปเผยแผ่ศาสนาพุทธนิกายนี้ที่เมืองจีน  ราชสำนักจีนให้ไปสร้างวัดอยู่ที่ป่าละเมาะบนเนินเขา  นอกเมืองลั่วหยาง(ในเรื่อง สามก๊ก ออกเสียงว่าเมืองลกเอี๋ยง/โจโฉ) รู้จักกันว่า "วัดเส้าหลิน" หรือ เสี่ยวลิ้มยี่  คนจีนเรียกนามเจ้าสำนักว่า "อาจารย์ ตั้กม้อ"  เพราะออกเสียงธรรมโมไม่ได้  ครั้งนั้นราว พ.ศ. ๑๐๖๗  ประเทศจีนเกิดการช่วงชิงอำนาจกัน  ทำให้ราชวงศ์ และรัชกาลต่างๆ อยู่ในช่วงสั้นๆ เฉลี่ย ๒ รัชกาล/ ราชวงศ์

        ครั้งหนึ่งในปลายราชวงศ์สุย  เกิดจลาจลแย่งชิงอำนาจกันไปทั่วแผนดิน  แบ่งเป็นสิบๆ ก๊ก  พลบค่ำวันหนึ่ง  ขุนศึก ๒ คนสู้รบกัน  คนแพ้หนีมาและหลบเข้าไปในวัดพร้อมปิดประตูขังตัวอยู่ในนั้น  ฝ่ายไล่ล่าก็ชักม้าวนไปรอบนอกกำแพง เพื่อหาช่องที่จะปีนกำแพงเข้าไปฆ่าคู่อริ 
ปรมาจารย์ตั้กม้อ
จังหวะนั้น ปรมาจารย์ "ตั้กม้อ" อยู่บนหอระฆังรู้เห็นเหตุการณ์ตลอด และต้องไม่ยอมให้คนนอกมาสู้รบฆ่าฟันกันในเขตวัดแน่นอน  ท่านจึงเปล่งเสียงหายใจออกเต็มพลังดังก้องดุจเสือคำราม

        ผู้ไล่ล่า คือ เจ้าเมืองลั่วหยางชื่อ "หวังซื่อชง" (ในเรื่อง ซุยถังเขียนว่า เฮ้งสีฉ้วง) กับม้าตะลึงเข้าใจว่าเสือโคร่งคำราม  มองขึ้นไป (ในเวลาพลบค่ำ) เห็นจีวรเหลืองๆ และประกายตา(แขก)ที่คมกล้าก็เข้าใจว่าเสือแน่  ทั้งม้าและคนจึงเผ่นหนีลงเขากลับเข้าเมืองไป  พระอาจารย์ตั้กม้อ  จึงให้เหล่าศิษย์ที่มีฝีมือคุ้มครองผู้มาพึ่ง  ข้ามแม่น้ำฮวงโหกลับไปยังฐานทัพของตนโดยปลอดภัย  ต่อมาอีกหลายปี  ผู้ถูกไล่ล่าครั้งนั้น  กลับช่วงชิงชัยชนะได้เด็ดขาด และหนุนส่งพระบิดาตั้งราชวงศ์ถัง และสืบราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ ๒ ทรงพระนาม จักรพรรดิ ถังไท้จง (มหาราช) นามเดิมหลี่ซื่อหมิง

 
ถังไท้จงจักรพรรดิ
      จักรพรรดิ ถังไท้จง ทรงรำลึกถึงพระคุณของปรมาจารย์ตั้กม้อ และลูกศิษย์  จึงให้จัดทำแผ่นหินสลักข้อความเหตุการณ์ที่ตนได้รับความช่วยเหลือที่วัดเส้าหลิน  นำมาถวายและประดิษฐานอยู่ที่หน้าวัดมาตราบทุกวันนี้  ทั้งทรงให้จัดทำจีวรพิเศษเพื่อสรรเสริญเกียรติคุณ  พระอาจารย์ตั้กม้อที่ส่งเสียงหายใจออกดุจเสียงเสือคำราม  จึงมีรูปลายเสือโคร่งพาดตรงอังสะ (ไหล่) ของจีวร  เป็นสัญลักษณ์เฉพาะเจ้าสำนักวัดเส้าหลิน  ศิษย์วัดเส้าหลินที่มีฝีมือหลายคนลาสิกขาไปเป็นครูฝึกทหารราชองครักษ์  และวิชา "มวยเส้าหลิน" ใช้สอนในราชสำนักสืบต่อมาทุกราชวงศ์  จนกระทั่งในโรงเรียนนายร้อยหวังปู  ที่จอมพลเจียงไคเช็คก่อตั้งขึ้นในยุคที่เป็นสาธารณรัฐแล้ว  ก็ใช้วิชามวยเส้าหลินเป็นหลักสูตรวิชาการต่อสู้แบบมือเปล่า
ปรมาจารย์จาง ซันฟง

Cr. from website


        ท่านจาง ซันฟง (เตียซำฮง) ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักบู๊ตึ๊ง  ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙  อายุ ๑๐๒ ปี ยังฝึกวิชามวยไท้เก๊ก และฝึกพลังลมปราณขั้นสูงสุดสำเร็จ และถ่ายทอดให้ศิษย์ได้จึงอายุยืนและแข็งแรงเช่นนั้นได้