ชาวจีนเรียกชื่อประเทศของตนว่า
จงกวั๋ว (สำเนียงแต้จิ๋วเรียก
ตงกก) แปลว่า
ภาคกลาง หรือ
ประเทศกลาง เพราะสมัยโบราณชนชาติจีนมีถิ่นฐานอยู่ระหว่างลุ่มแม่น้ำฮวงโห (หรือสำเนียงจีนกลางปัจจุบันคือ หวงเหอ) ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ทางด้านเหนือกับลุ่มแม่น้ำที่ชาวไทยรู้จักดีในนามแยงซีเกียง (ยังมีชื่อเรียกอีก ๒ ชื่อว่าแม่น้ำฉางเจียง หรือแม่น้ำหยังจื้อ) ซึ่งเป็นแม่น้ำทางด้านใต้
ดินแดนที่อยู่ด้านนอกกำแพงเมืองจีนไปทางทิศเหนือเป็นถิ่นฐานของชนต่างชาติหลายเผ่าชน เช่น มองโกล แมนจู กิมหรือจีน (เกาหลี) รวมเรียกว่า
พวกปักฮวน แปลว่า
พวกอนารยชนทางเหนือ ดินแดนด้านทิศตะวันตกไกลออกไปเป็นเทีอกเขาสูงและป่าดงมากมาย มีชนกลุ่มน้อยหลายเผ่า ที่รู้จักกันดีคือธิเบต มีชื่อเรียกเฉพาะว่าซีจั้ง เรียกรวมทุกเผ่าทางทิศตะวันตกนี้ว่า
พวกไซฮวน แปลว่า
พวกอนารยชนทางตะวันตก ดินแดนด้านทิศใต้ไกลลงมาจากลุ่มน้ำแยงซีเกียงเมื่อเข้าสู่ยุคสามก๊ก ก็ไม่ใช่ดินแดนประเทศจีนแล้ว ดังจะเห็นได้จากการที่ขงเบ้งซึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีของเล่าปี่ที่ตั้งหลักมั่นอยู่ในแคว้นเสฉวนยังยกทัพลงไปรบกับพวกหน่ำฮวน (อนารยชนทางใต้) ซึ่งมีเบ้งเฮกและลุดตัดกุดเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง
ถ้าดูแผนที่ประเทศจีนในปัจจุบัน จะเห็นว่ามณฑลเสฉวนมิได้เป็นชายแดนประเทศจีน เพราะมีมณฑลกวางสีจ้วง มณฑลกุ้ยโจว และมณฑลยูนนานอยู่ถัดลงไปทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่ในยุคสามก๊กนั้นอาณาเขตประเทศจีนสุดแดนเพียงแคว้นเสฉวนเท่านั้น พ้นไปเป็นรัฐอิสระของชนกลุ่มน้อย
คำว่า
"จงกวั๋ว" จึงมีความหมาย ๒ นัย นัยหนึ่ง ... ในยุคโบราณหมายถึง
ดินแดนของชนชาติจีนล้วนๆ พวกฮวนไม่เกี่ยว แต่อีกนัยหนึ่ง ... ในปัจจุบันหมายถึง
ประเทศจีนทั้งหมดรวมทุกมณฑล ไม่ยกเว้นแม้แต่มองโกเลียใน หรือดินแดนแมนจูเดิม เช่น เหยหลงเจียง หรือกว่างสีจ้วง ถ้าเราถามพลเมืองจีนว่าเขาเป็นคนประเทศอะไร เขาก็จะตอบว่าเป็นจงกวั๋วเหริน (คนประเทศจีน) แต่ถ้าถามว่าเขามีเชื้อชาติของเผ่าชนใด บรรดาจงกวั๋วเหริน หรือตงกกนั้ง จะตอบไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะตอบว่าเขาเป็นชนชาติมองโกล (ม่ง-กู่เหริน) บ้าง บางคนอาจจะเป็นชนชาติแมนจู (หม่าน-ต้าเหริน) บ้าง แม้ว่าส่วนใหญ่ของชาวเมืองจีนจะต้องตอบว่า "ฉันเป็นคนชนชาติฮั่น (ฮั่นเหริน) ก็ตาม
คนจีนส่วนใหญ่ที่มิใช่ชนกลุ่มน้อยจะเรียกตนเองว่าเป็นชาวฮั่น คำว่า "ฮั่น" นี้คือนามของราชวงศ์ฮั่นอันยิ่งใหญ่ ในยุคโบราณกว่า ๑,๗๐๐ ปี ย้อนหลังไปนั้น องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่นเป็นขุนศึกนาม เล่าปัง ซึ่งรบแพ้ ฉ้อปาอ๋องผู้ยิ่งยงถึง ๗ ครั้ง แต่พอชนะครั้งเดียวก็เด็ดขาด สามารถตั้งตนเป็นจักรพรรดิฮั่นเกาจู่ หรือที่ออกพระนามในเรื่องสามก๊กว่าพระเจ้าฮั่นโกโจนั่นเอง
จักรพรรดิฮั่นโกโจ หรือฮั่นเกาจูเป็นมหาราชชาตินักรบ แผ่อานุภาพจากกรุงซีอานขึ้นไปทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ครอบครองแคว้นซินเกียง ผ่านช่องเขากานซูขึ้นไป ผ่านทะเลทรายโกบีไปจรดอาณาจักรเปอร์เซียและเขตอิทธิพลของมหาอาณาจักรโรมันที่มีศูนย์กลางในทวีปยุโรปอยู่ที่กรุงโรม และแผ่อำนาจมาปกครองทั้งทวีปแอฟริกาเหนือและทวีปเอเซีย (ปัจจุบันเรียกว่าตะวันออกกลาง)
โรมันเป็นมหาอำนาจ ๓ ทวีป ในขณะที่จีนเป็นมหาอำนาจของทวีปเอเซีย ต่างก็สงวนอำนาจอยู่ในเขตอิทธิพลของตน ไม่เข้าปะทะกันเป็นสงคราม กลับทำมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากัน ผลผลิตของจีนที่ขึ้นชื่อลือชาได้แก่ ผ้าแพร ผ้าไหม อันเป็นที่ต้องการของชาวยุโรป ส่วนจีนต้องการสินค้าที่ตนผลิตเองไม่ได้ เส้นทางการค้าระหว่างกรุงโรมและกรุงซีอานเมืองหลวงของจีนในยุคราชวงศ์ฮั่นนี้เอง ที่ชาวโลกรู้จักในนาม
เส้นทางสายไหม (Silk Route) ซึ่งในยุคที่โรมันและจีนเรืองอำนาจนั้น...เส้นทางสายไหมใช้ทางบกจากกรุงโรมตรงมายังกรุงซีอาน ไม่มีประเทศใดหรือแคว้นไหนกล้าขัดขวางการลำเลียงสินค้าของเส้นทางสายไหม เพราะมี ๒ มหาอำนาจของโลกยุคนั้นคุ้มกันอยู่
|
Cr. from Facebook (The Silk Road)
ความยิ่งใหญ่ของจีนในยุคราชวงศ์ฮั่นครั้งนั้นเอง ที่กลายเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของชาวจีนมาตราบทุกวันนี้ โดยยังเรียกตนเองว่าชาว (แผ่นดิน) ฮั่น ทั้งๆ ที่ราชวงศ์ฮั่นได้ล่วงผ่านมาเกือบ ๒,๐๐๐ ปีแล้ว เว้นแต่ชาวจีนบางส่วนในภาคใต้ของจีน โดยเฉพาะชาวจีนฮกเกี้ยนในมณฑลฮกเกี้ยน (สำเนียงจีนกลางคือผู่เจี้ยน) และชาวจีนแต้จิ๋วในมณฑลกวางตุ้ง ไม่เรียกตนเองเป็นชาวฮั่น แต่กลับเรียกตนเองเป็นชาว(ราชวงศ์)ถัง ตามสำเนียงจีนแต้จิ๋วเรียกว่าตึ่งนั้ง และเรียกชื่อประเทศจีนว่าแผ่นดินถัง หรือประเทศถัง ซึ่งก็คือคำว่า "ตึ่งซัว" ตามสำเนียงจีนแต้จิ๋วนั่นเอง
น่าประหลาดที่คนจีนไม่ว่าจะอยู่มณฑลไหน เผ่าชนชาติใดก็ไม่มีใครเรียกตนเองว่าชาวจีน หรือประเทศจีน ไม่มีแม้แต่คำศัพท์ที่ออกเสียงใกล้เคียงกับคำว่าจีนอย่างที่คนไทยใช้เรียกชื่อประเทศจีน หรือคนจีน แล้วเราได้ศัพท์คำว่า "จีน" มาจากไหน นี่เป็นปริศนาที่ยังหาคำตอบที่ชัดเจนแจ่มแจ้งไม่ได้ ในสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถานพิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๓ หน้า ๕๒๑๗ กล่าวว่า "...นักปราชญ์ชาวตะวันตกมีความเห็นเรื่องที่มาของคำว่าจีนต่างๆ กัน ว่ามาจากคำว่า "จีนะ" ในภาษาสันสกฤต เพราะมีชื่อนี้ปรากฏในคัมภีร์มานวธรรมศาสตร์ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เก่าของคัมภีร์ไบเบิ้ลก็มี แต่ก็ปรากฏเพียงเป็นชื่อเท่านั้นไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงอย่างอื่นมาประกอบสนับสนุนว่าเป็นชื่อชนชาติใด ทั้งอายุสมัยที่กล่าวไว้ก็เก่าแก่ห่างไกลกันมากเมื่อเทียบกับหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เรื่องจึงยุติเพียงตราเอาไว้เท่านั้น...
...แต่ที่เข้าใจกันส่วนมากว่าจีนอาจได้มาจากชื่อราชวงศ์จิ้น (Tsin) ซึ่งมีพระเจ้าจิ้นซีฮ่องเต้ (เขียนตามหนังสือไซ่ฮั่น) เป็นปฐมกษัตริย์... ส่วนคำ Cathay เป็นชื่อที่ชาวยุโรปตะวันออกมีรัสเซียเป็นต้น ใช้เรียกประเทศจีน คำนี้เพี้ยนเสียงมาจากคำว่า ซีไต๋ (Khitai) อันเป็นชื่อชาวตาดเผ่าหนึ่ง..." ชาวยุโรปเรียกชาวจีนว่า Sin Chin และ Seres ในภาษาอังกฤษเรียกชื่อประเทศจีนว่า China และเรียกชาวจีนว่า Chinese เป็นที่เข้าใจกันว่า ๒ คำนี้มีรากศัพท์มาจากคำในภาษาจีนที่เรียกชื่อราชวงศ์จิ๋น หรือ ฉิน (Chin) ซึ่งอักขรวิธีที่จีนปัจจุบันใชัอักษรอารบิกสะกดคำนี้เขียนเป็น Qin ออกเสียงว่าฉิน ตามสำเนียงภาษาจีนกลางที่เรียกชื่อราชวงศ์ฉิน (เสียงแต้จิ๋ว คือ จิ๋น)
ชาวไทยเรียกชื่อประเทศจีน และชาวจีนตามอย่างฝรั่งกระนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อ เพราะคนไทยรู้จักคบหาสมาคมกับคนจีนและประเทศจีนมานานหลายพันปี ตั้งแต่อาณาจักรไทยอยู่ชิดติดแดนจีน แม้เมื่อเราลงมาตั้งอาณาจักรสุโขทัยก็มีคำกล่าวสืบมาว่าพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (ช่วงปี พ.ศ. ๑๘๒๐ - ๑๘๖๐) เคยเสด็จไปเมืองจีน ๒ ครั้ง และทรงนำช่างจีน (หรือไม่ก็โปรดเกล้าฯ ให้ช่างไทยเรียนจากจีน) มาสร้างเตาทุเรียงสำหรับผลิตเครื่องถ้วยชาม มีลายเคลือบสวยงาม ที่เรียกกันในปัจจุบันว่าถ้วยชามสังคโลก หรือเครื่องลายครามสังคโลก
ตามที่มีจารึกไว้ในพงศาวดารชาติไทยนั้น...ฝรั่งชาติแรกที่ไทยเรารู้จักคบหาจนถึงจารึกชื่อไว้ คือ ชาวโปรตุเกส โดยกัปตัน อดวด เฮอร์นันเดช ปินโต เดินเรือมาพร้อมทหาร ๑๓๖ คนเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ในรัชกาลสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ทรงเป็นพระบรมเชษฐาธิราชของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ) ช่วงเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่พม่ารุกรานไทย โดยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ กษัตริย์ชาติพม่ายกกองทัพลงมายึดอาณาจักรมอญ และย้ายเมืองหลวงของประเทศจากกรุงอังวะลงมาใช้กรุงหงสาวดี (พะโค) ของมอญเป็นเมืองหลวงแทน เท่านั้นไม่พอ... กองทัพพม่ายังเข้ายึดครองเมืองเชียงกราน ในอ่าวเมาะตะมะที่เป็นเมืองขึ้นของไทย และมีทรัพยากรน้ำมันดินซึ่งมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์มาก
สมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงเป็นนักรบ จึงโปรดเกล้าฯ ให้จัดกองทัพเพื่อจะยกไปตีเอาเมืองเชียงกรานคืน กัปตันปินโตได้นำกองทหารโปรตุเกสทั้งหมดเข้าเฝ้าฯ อาสาทำศึกโดยร่วมไปในกองทัพไทย เราสามารถชิงเมืองเชียงกรานคืนกลับมาขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาได้อีกวาระหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าส่วนหนึ่งมาจากอิทธิฤทธิ์ของปืนไฟ หรืออาวุธปืนคาบศิลาที่ทหารโปรตุเกสใช้ยิงต่อสู้ ในขณะนั้นทั้งพม่าและไทยยังไม่มีอาวุธทันสมัยอย่างปืนไฟใช้ (คำว่า "ปืน" ในภาษาโบราณหมายถึง ธนู หรือ ศร หรือเกาทัณฑ์ นั่นเอง คำศัพท์ที่เรียกว่าพระนารายณ์ทรงปืน หรือชื่อพรานป่าในบทพระราชนิพนธ์ละครเรื่องพระร่วง ที่มีชื่อว่านายมั่นปืนยาวนั้น อาวุธที่ทรง หรืออาวุธที่ถือคือ ธนู หรือศร นั่นเอง ครั้นไทยมีอาวุธแบบยุโรปมาใช้ยิงเหมือนปืนดั้งเดิมของเรา แต่เวลายิงจะมีไฟแลบออกมาทางปากกระบอกด้วย เราจึงเรียกว่าปืนไฟ (เอาไว้ก่อน) ภายหลังจึงเรียกเพียงปืน แต่แยกประเภทตามลักษณะไป เช่น ปืนพก ปืนสั้น ปืนยาว ปืนกล ปืนเล็ก ปืนใหญ่ ปืนครก เป็นต้น)
คนไทยรู้จักฝรั่งภายหลังเรารู้จักจีนเป็นพันๆ ปี เชื่อได้ว่าศัพท์ชื่อจีนที่เราใช้เรียกชื่อประเทศ และชื่อคนของประเทศจีนนั้น เราไม่ได้รับจากฝรั่งแน่นอน ดังเหตุผลและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่อ้างถึงแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เชื่อด้วยว่าคำว่าจีนนี้ ไทยจะได้มาจากภาษาสันสกฤต ทั้งนี้เพราะไทยรู้จักคำว่า คนจีนและเมืองจีนมาก่อนที่เราจะรู้จักภาษาสันสกฤตที่ติดมากับพราหมณ์ และลัทธิศาสนาพราหมณ์ซึ่งมีอิทธิพลในยุคกรุงศรีอยุธยา แต่ยุคก่อนหน้านั้นตั้งแต่กรุงสุโขทัยย้อนหลังขึ้นไปถึงยุคอาณาจักรเชียงแสนและเหนือขึ้นไปอีกจนชิดแดนจีน เช่น แคว้นสิบสองปันนา ไม่มีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ และภาษาสันสกฤตอยู่เลย มีแต่ศาสนาพุทธและภาษาบาลี
ผู้เขียนค่อนข้างเชื่อว่าคำเรียกชื่อเมืองจีน และคนจีนที่คนไทยใช้เรียกนี้ได้รับโดยตรงจากชื่อราชวงศ์จิ๋น หรือฉิน (ในเสียงจีนกลาง) ทั้งนี้โดยมีข้อสันนิษฐานหรือเหตุผลประกอบตามเรื่องราวในตำนานพงศาวดารจีน และชาติใกล้เคียงดังนี้ คือเมื่อครั้งที่มหาจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ (หรือ ฉินสื่อหวางในเสียงจีนกลาง) ได้ทรงสถาปนาราชวงศ์จิ๋น หรือฉินขึ้น และครองราชย์เป็นองค์ปฐมจักรพรรดิของประเทศจีนนั้น ... พระองค์ทรงรบทัพจับศึกปราบแคว้น หรือก๊กอื่นๆ ราบคาบจนสิ้นยุคเลียดก๊ก หรือยุคจ้านกวั๋ว จากนั้นจักรพรรดิหนุ่มทรงใช้อำนาจเด็ดขาด สั่งให้เกณฑ์แรงงานผู้คนนับล้านคนไปก่อสร้างเชื่อมกำแพงใหญ่ที่แคว้นต่างๆ ได้สร้างไว้ป้องกันการรุกรานของพวกปักฮวน หรือพวกอนารยชน (นอกกำแพง) ทางด้านทิศเหนือ จนทำให้มหากำแพงยักษ์ได้เชื่อมติดต่อกันเป็นพืดยาวจากด้านตะวันตกยาวไปสุดแผ่นดินจีนทางด้านตะวันออกที่ด่านซานไห่กวาน นับเป็นระยะทางประมาณ ๕,๐๐๐ กิโลเมตร หรือ ๑๐,๐๐๐ ลี้ กำแพงเมืองจีน กำแพงเมืองจีนนี้จึงมีชื่อเรียกในภาษาจีนกลางว่า "ว่านหลี่-ฉางเฉิง" (กำแพงหมื่นลี้)
ผู้คนที่ถูกเกณฑ์แรงงานไปสร้างเชื่อมกำแพงยักษ์ครั้งนั้น ต้องตรากตรำงานหนักจนล้มตายไปนับล้านคน ญาติสนิทมิตรสหายของผู้ตาย รวมทั้งศัตรูคู่ศึกในแคว้นอื่นๆ ที่พ่ายแพ้แต่ก็ยังปองร้ายอยู่ ทำให้จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ทรงถูกลอบปลงพระชนม์มากครั้งที่สุดพระองค์หนึ่ง นับว่าพระองค์เป็นกษัตริย์หนุ่มที่ทรงก่อตั้งประเทศจีนจากฐานเดิม คือ แคว้นฉินหรือจิ๋น โดยการสถาปนาราชวงศ์ฉิน หรือจิ๋นขึ้นจากเจ้าผู้ครองแคว้นเล็กๆ ขึ้นเป็นราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ปกครองทั้งประเทศทุกแคว้น
พงศาวดารจีนกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีว่าภาษาและตัวอักษรของชาติทั้งสองคล้ายคลึงกัน ทั้งนี้เป็นเพราะในสมัยจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้ทรงส่งคณะผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรพร้อมกองทหารไปเสาะค้นหายาอายุวัฒนะในดินแดนประเทศเหล่านั้น เพื่อพระองค์จะได้มีพระชนม์ยืนยาวมากที่สุด ครั้นสิ้นราชวงศ์จิ๋นหรือฉินในไม่กี่ปีต่อมา ผู้คนเหล่านั้นจึงตั้งรกรากอยู่ในดินแดนโพ้นทะเล และเผยแพร่อารยธรรมแก่ชาวเกาะญี่ปุ่น และคาบสมุทรเกาหลีซึ่งขณะนั้นยังด้อยอารยธรรมกว่าจีนมาก ครั้งนั้นกล่าวกันว่าพระองค์ทรงส่งคณะแสวงหายาวิเศษนั้นไปยังทั่วทุกสารทิศ
จึงน่าเชื่อว่าจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้จะทรงส่งคณะออกค้นหายาอายุวัฒนะลงมายังทิศใต้และตะวันตก ซึ่งทางทิศใต้มีแคว้นไทยจ้วง ส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้มีแคว้นสิบสองปันนาซึ่งเป็นต้นเค้าของอาณาจักรเชียงแสน อาณาจักรล้านนา และอาณาจักรสุโขทัย
ด้วยเหตุนี้...ย่อมเชื่อได้ว่าเรารู้จัก และใช้คำว่า "จีน" ในภาษาไทยเรามาก่อนหน้ายุคกรุงสุโขทัยนานแล้ว โดยมีที่มาจากชื่อราชวงศ์จิ๋นหรือฉินดังที่กล่าวมาโดยละเอียดแล้ว ✈
|