ผมเริ่มเรียนชั้นประถมที่ลำปางบ้านเกิด จำได้ว่าคุณครูกำชับนับแต่วันแรกๆ ที่เข้าเรียนว่า "ห้ามพูดคำหยาบ" โดยเฉพาะสรรพนามที่ใช้เรียนกขานกันในครอบครัว หรือใช้กับผู้คนนอกโรงเรียน คือ คำว่า "คิง-ฮา-บ่า-อี่" และ "ลื้อ-อั๊ว" ห้ามใช้ในโรงเรียน หรือชั้นเรียน ใครขืนใช้จะถูกลงโทษ ผมและเพื่อนอีกหลายคนเป็นลูกหลานจีน เรียกกันว่า "เด็กตลาด" มีคำสรรพนามใช้เรียกคือ "ลื้อ-อั๊ว" ซึ่งคุณครูก็ห้ามใช้ในโรงเรียนเช่นกัน ครั้นเราถามเหตุผลว่าทำไมห้ามใช้คำสรรพนามเหล่านี้ ในเมื่อผู้ปกครองเราใช้ทุกวัน ครูตัดบทฉับ บอกว่าเขาห้ามใช้ก็เพราะมันเป็น "คำหยาบ" จงใช้สรรพนามมาตรฐาน คือคำว่า "ฉัน-เธอ" แทนคำหยาบ "คิง-ฮา" เถอะ ใครขืนพูดคำหยาบจะถูกตี
เมื่อผมไปเรียนชั้นมัธยม ซึ่งมีเพื่อนนักเรียนร่วมรุ่นกว่าร้อยคน มาจากโรงเรียนต่างๆ หลากหลาย พวกเขาก็เคยถูกห้ามใช้สรรพนาม "คิง-ฮา-บ่า-อี่-อั๊ว-ลื้อ" เพราะเป็นคำหยาบ ซึ่งคุณครูทุกๆ โรงเรียนให้เหตุผลเหมือนกัน คงไม่ใช่คุณครูคิดเหตุผล หรือข้ออ้างเอาเอง ย่อมเป็นนโยบายที่ได้สั่งมาจากผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลสมัยโน้น ผมไม่เดือดร้อนกับการถูกห้ามใช้คำสรรพนามต้องห้ามทั้งหลายเหล่านี้ เพราะผมเป็นคน "สมองนิ่ม" คือ หัวอ่อนนั่นแหละ ถูกล้างสมองก็ไม่กล้าใช้คำหยาบคายเช่นนั้น ถึงแม้กลับบ้านไปก็ไม่ใช้ แม้ผมจะอยู่ลำปางจนอายุ ๒๑ ปี ผมก็ไม่ใช้จนถึงปัจจุบันอายุ ๗๕ ปีก็ไม่กล้าใช้ จนกว่าคุณครู หรือทางราชการกระทรวงวัฒนธรรมจะกรุณาปลดโซ่ตรวนข้อหาที่ว่า คำสรรพนาม "คิง-ฮา ฯลฯ" เป็นคำหยาบเสียก่อน แล้วผมจะลองใช้ดูบ้าง เพราะผมไม่เคยใช้ตั้งแต่เด็กจนแก่ พอจะใช้ก็ขัดเขิน
ครั้งหนึ่งนานกว่า ๒๐ ปีมาแล้ว ท่านอาจารย์ไกรศรี นิมมานเหมินท์ เศรษฐีเชียงใหม่ที่เชี่ยวชาญเรื่องล้านนาคดี เข้ากรุงเทพฯ มาประชุม เสร็จก็ตามตัวผมไปกินข้าว โดยมีลูกท่าน ๒ คนร่วมโต๊ะด้วย ขณะนั้นคุณธารินทร์ยังเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ และคุณศิรินทร์ยังเป็นรองผู้ว่าการการปิโตรเลียมฯ
ผมได้ยินชัดๆ ว่าอาจารย์ไกรศรี ใช้คำสรรพนาม "คิง-ฮา" พูดกับลูกชายทั้งสอง ท่ามกลางความฉงนสนเท่ห์ของผม อาจารย์ไกรศรีคงสังเกตเห็นอาการ จึงอธิบายว่าแท้ที่จริงคำสรรพนามที่คนเมือง (ล้านนา) ใช้ คือ "คิง-ฮา" นั้น ไม่ใช่คำหยาบเลย ตรงกันข้าม คำทั้งสองนี้เป็นคำสุภาพมาก เพราะ "คิง แปลว่า ตัว" เช่น "รู้คิง" ก็คือ "รู้สึกตัว" การใช้สรรพนามบุรุษที่ ๒ ว่า "ตัว" นี่นะ คนไทยที่ใช้สำเนียงภาษาไทยกลางก็ใช้กันอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะนิยมใช้ในเพศหญิงที่อายุไล่ๆ กัน หรือเพื่อนกัน ส่วนคำว่า "ฮา ก็คือ รา" ในภาษาล้านนาเป็นสรรพนามบุรุษที่ ๑ เอกพจน์ ถ้าเป็นพหูพจน์ใช้ว่า "เฮา" ก็คือ "เรา" ซึ่งคนไทยที่ใช้สำเนียงภาษาไทยกลางก็ใช้คู่กับ "ตัว"
ดังนั้น สรรพนาม "คิง-ฮา" ในภาษาล้านนา ก็คือ สรรพนาม "ตัว-เรา" ในภาษาไทยกลางนั้นเอง ไม่เห็นจะเป็น "คำหยาบ" ที่ไหนเลย ความหยาบน่าจะอยู่ที่ความคิดจิตใจของผู้มีอำนาจ/ออกคำสั่ง เพราะถ้าเป็นคนละเอียดอ่อน หรือลึกซึ้งก็ย่อมจะสอบถามศึกษารู้ความจริงได้ไม่ยากอะไร ตัวอย่างดังเช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ มหากวีสยาม เมื่อจะทรงพระนิพนธ์บทละครร้องเรื่อง "สาวเครือฟ้า" บทละครอมตะซึ่งนางเอก และฉากในละครอยู่ที่เชียงใหม่ แต่ทรงแต่ได้ดีเยี่ยมจนบรรยากาศในเรื่องประหนึ่งอยู่ในเชียงใหม่ทีเดีย ด้วยเหตุนี้ ในยุคที่เกิดภาพยนต์ขึ้นมาแทนละคร ก็มีผู้ขออนุญาตนำนิยายเรื่องนี้ไปสร้างเป็นภาพยนต์อีกหลายชุด (เวอร์ชั่น) อีกไม่นานก็คงจะมีคนคิดสร้างชุดใหม่อีก
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงละเอียดลึกซึ้งเช่นครั้งที่สมเด็จพระปิตุลาพงศาภิมุขเจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศวรเดชเสด็จทิวงคต กรมพระนราธิปฯ ทรงพระนิพนธ์โคลงสี่ เขียนเป็นอักษรสีดำบนผ้าขาวใส่กรอบ แล้วทรงนำไปวางเคารพพระศพ เผอิญอาจารย์สถิตย์ เสมานิล ซึ่งเป็นนักหนังสือพิมพ์อาวุโสได้เห็นโคลงบทนี้ จึงจำใส่สมองตั้งแต่ปี ๒๔๗๑ โน่น นำมาใส่สมองผมเมื่อราวปี ๒๕๑๑ ผมจึงจำต่อมาอีก แต่ผมอายุเกิน ๗๕ ปีแล้ว จึงขอถ่ายทอดให้ช่วยกันจำมรดกกวีนี้ต่อไป คือ
✪ โอ้อนาถอาวราชผู้ พุฒิพล พี่เอย
สมเด็จปู่หมู่พหล บกน้ำ
ไป่ควรหรึด่วนดล สยามวิโยค เสียนา
ทิ้งชาติศาสนาซ้ำ กษัตริย์เศร้าเสียดายฯ
อาจารย์สถิตย์ เสมานิล เป็นหนึ่งในคณะกรรมการชำระพจนานุกรมราชบัณฑิตย์ ๒๕๒๕ เป็นผู้แต่งบทร้อยกรองร้อยแก้ได้ดีทุกประเภท ได้ชี้ให้ดูว่าในบาทแรกนั้น ถ้าเป็นคนทั่วไปอาจใช้ความว่า "✪ พระปิตุลาธิราชผู้......" ก็ได้ แต่กรมพระนราธิปฯ ทรงคิดผสมศัพย์คำว่า "อาว" ในภาษาล้านนา หมายถึงน้องชายของพ่อ หรือแม่ ซึ่งตรงกับสายสัมพันธ์ในพระราชวงศ์ ณ ขณะนั้น คือ พระผู้ทรงทิวงคต ทรงเป็นสมเด็จพระปิตุลา (อา) ในรัชกาลที่ ๗ นั้น มหากวีจึงทรงผสมศัพท์ล้านนามาให้เป็น "อาวราช"
ผมจึงถือโอกาสในวาระที่นครเชียงใหม่จะครบ ๖๐รอบปีนักษัตร ขอความเมตตาจากผู้มีอำนาจได้โปรดปลดปล่อยคำสรรพนาม "คิง-ฮา" ให้พ้นจากข้อหาว่าเป็น "คำหยาบ" ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังเสนอ เทอญ
เรื่องราวทางภาษาและวรรณคดีที่ผมเสนอขอ "ความเป็นธรรม" ให้แก่ผู้ประพันธ์ที่แท้จริง เนื่องในวาระ "นครเชียงใหม่ ครบ ๖๐รอบปีนักษัตร ในปี ๒๕๕๙ คือ
๑. ใครแต่ง : ลิลิตพระลอ
๒. ใครแต่ง : สมุทโฆสคำฉันท์ตอนต้น
๓. ใครแต่ง : ลิลิตยวนพ่าย และโองการแช่งน้ำ
ทั้งนี้ ๒ เรื่องแรก ผมเคยเขียนแสดงเหตุผลเสนอให้อาจารย์สถิตย์ เสมานิล เห็นชอบและนำลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ "ชาวไทย" ยุคสี่แยกแม้นศรีในปี ๒๕๑๔ และคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ให้พิมพ์ซ้ำใน "ศิลปวัฒนธรรม" ในปี ๒๕๒๖ ซึ่งผมแจงรายละเอียดหลักฐานเหตุผลจนสรุปได้ว่า ผู้แต่ง ๒ เรื่องนี้คือ "พญาแสนหลวง" ซึ่งทรงเป็นกษัตริย์ เรียกตำแหน่งว่า "มหาราช(เชียงใหม่)" ที่เสียเมืองแก่กองทัพสมเด็จพระนารายณ์มหาราช(หมายถึงยิ่งใหญ่) ถูกกวาดต้อนผู้คนทั้งเมืองลงมาอยู่ ณ ทุ่งมหาราช นอกกรุงศรีอยุธยาในฐานะเชลยพ่ายศึก ถ้าจะให้ผมเขียนถึงอีกก็จะซ้ำเป็นครั้งที่ ๓ แต่ถ้ามีองค์กร/สถาบันใดสนใจจะให้ผม "ฉายซ้ำ" อีกก็ยินดีเป็นวิทยากรไม่ต้องมีค่าวิชา เพราะผมถือว่าโอกาสที่ได้เสนอและต่อสู้เพื่อ "ความเป็นธรรม" นั้น เป็นภารกิจที่เกาะติดจิตวิญญาณของผมมาตั้งแต่เกิด แต่ผมก็พกผ้าขาวติดตัว หากท่านผู้ใดเสนอเหตุผล/หลักฐานให้เห็นว่าผมเข้าใจผิดละก็ ผมพร้อมจะปูผ้าขาว และกราบงามๆ สามคาบครับ
ส่วนเรื่อง "ลิลิตยวนพ่าย" และ "โองการแช่งน้ำ" นั้น ผมไม่รู้ว่าใครแต่ง เป็นภารกิจขององค์การที่มีหน้าที่จะศึกษาหาเหตุผลหลักฐานมาพิสูจน์ต่อไป แต่ผมและเพื่อนอาจารย์บางท่านเชื่อว่า ชาวล้านนาที่เชียงใหม่แต่ง หากมีการเสวนาแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ โปรดให้โอกาสผม และเพื่อนอีก ๒-๓ คนเข้าร่วมวงด้วย ผมมี "ผ้าขาว" หลายผืนพร้อมใช้เสมอครับ