Thursday, July 27, 2017

ตอน พญาธรรมิกราช

                      วิชาประวัติศาสตร์ชาติไทย  ที่นักเรียนรุ่นอายุ ๗๐ ปีขึ้นไปได้จดจำมาคือ  อาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกของคนไทย  ก่อตั้งมากว่า ๗๕๐ ปี  เราเชื่อกันมาอย่างนี้  แม้นักเรียนรุ่นลูกคนเล็กของผมอายุ ๔๐ ปี  ก็เรียนตามตำราเช่นนี้

                      ครอบครัวของผมหลายชั่วอายุ  ไม่มีใครเรียนวิชาทางประวัติศาสตร์  แม้แต่วิชาเลือกลูกสาวผมยังเลือกที่จะไม่เรียน  ผมก็เรียนทางเศรษฐศาสตร์  ทำงานกระทรวงพาณิชย์จนเกษียณ เผอิญชอบอ่านหนังสือตำนานพงศาวดารโบราณคดี และวรรณคดี  จึงได้รับข้อมูลต่างๆ มากมายหลายหลาก  ทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นว่า "ตำราเรียนวิชาประวัติศาสตร์ไทย"  ที่เราใช้เรียนใช้สอนคนไทยต่อๆ กันมาเกือบศตวรรษนั้น  ควรจะชำระให้ถูกต้องตามความเป็นจริง  อย่างน้อยก็ประวัติศาสตร์ชาติไทยย้อนหลังขึ้นไปก่อนอาณาจักรสุโขทัย  ถ้าติดขัดประวัติศาสตร์ยุครัตนโกสินทร์  ก็เรียนแค่ยุคกรุงธนบุรีก็พอ  ทิ้งไว้ให้คนไทยในอนาคตดำเนินการต่อไป

                      ผมขออนุญาตเสนอเรื่องราวที่เป็น  ปมปัญหาในสมอง(นิ่มๆ) ของผม  ที่ยังหาความกระจ่างเป็นคำตอบไม่ได้  เพื่อให้ทางราชการ หรือท่านผู้รู้ได้โปรดเมตตาชี้แนะเพื่อให้หูตาของผมหายโง่งม  จักเป็นพระคุณยิ่ง  กล่าวคือ

                      เรื่องแรก  :  ถ้าอาณาจักร์แรกของไทย คือ  "สุโขทัย"  ที่พ่อขุนบางกลาง(ท่าว)หาว หรือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แห่งราชวงศ์พระร่วงได้สถาปนาขึ้นมานั้น   ผมขอเรียนถามว่า : ทางราชการไทยได้สืบค้นย้อนไปได้หรือไม่ว่า  พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เป็นใครมาจากไหน  มีโคตรเหง้าเหล่ากอสัมพันธ์กับแคว้นใด  เมืองใด   กาลเวลาผ่านมา ๗๐๐ กว่าปี  น่าจะยังมีหลักฐานร่องรอยให้แกะรอยสืบค้นได้  ดูตัวอย่างประเทศจีน  ซึ่งศึกษาสืบค้นเรื่องราวของราชวงศ์ฉิน (หรือจิ๋น) ย้อนไปนานได้หลายชั่วอายุคน ก่อนจะเกิดมี "จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้" เมื่อกว่า ๒,๐๐๐ ปีก่อน

                      เรื่องที่สอง :  การที่รัฐบาลไทยให้จัดสร้างรูปหล่ออนุสาวรีย์  "สามกษัตริย์" ประดิษฐานไว้ที่เชียงใหม่นั้น  ยืนยันถึงสายสัมพันธ์แนบแน่น   ปัญหาที่ผมเรียนถามขอความกระจ่างคือ ราชวงศ์ของสามกษัตริย์  มีความผูกพันกันมาลึกซึ้งปานใดหรือ  พญามังรายจึงทรงวางพระทัยถึงขนาดเชิญเสด็จมาทรงช่วยวางผังเมืองนครเชียงใหม่?  เพราะถ้าผู้ใดได้ทราบถึงข้อมูลโครงสร้างผังเมืองละก็เสมือนได้รู้ "จุดอ่อน/จุดแข็ง/จุดอับ หรือจุดดับ" ของเมืองนครเชียงใหม่  ทั้งมิได้ทรงเชิญสองกษัตริย์ พญางำเมือง และพญาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) เสด็จมาเยือนแต่พอเป็นพิธี  แต่ผมเชื่อว่าทรงปรึกษาหารือกันจริงจัง  ดังได้เห็นรูปลักษณ์ของกำแพงเมืองรูปทรงสี่เหลี่ยม  ประตูเมือง ๔ ด้าน และประตูเมืองด้านทิศตะวันออก คือ "ประตูผี" เหมือนกันทั้งสุโขทัยและที่เชียงใหม่

                      เรื่องที่สาม :  ความสัมพันธ์ฉันเครือญาติของราชวงศ์พระร่วง  แห่งสุโขทัยกับราชวงศ์นครน่านนั้น  มีหลักฐาน และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ยืนยันปรากฏอยู่  เช่น  เจดีย์วัดช้างล้อมที่อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร  ซึ่งกล่าวกันว่าพญาเมืองน่าน  ได้จำลองแบบเจดีย์วัดช้างค้ำวรวิหาร  ที่เมืองน่านมาสร้างถวายเป็นพระเกียรติแด่กษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัย  ซึ่งมีศักดิ์ฐานะอาวุโสกว่าพญาน่าน  ในยุคปลายของกรุงสุโขทัย  พญาน่านก็ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระเจ้ากรุงสุโขทัย  ดังความในศิลาจารึกหลักที่เรียกรู้กันว่า "ปู่สบถหลาน"  ไม่เพียงเขียน หรือให้คำมั่นไว้เล่นๆ แต่เมื่อกรุงสุโขทัยถูกกองทัพจากรุงศรีอยุธยายกมารุกราน  ก็ถูกกองทัพของพญาผากอง ยกจากเมืองน่านมาตีกระหนาบ  ทำให้กรุงสุโขทัยพ้นอันตราย

                      ความมืดในสติปัญญาอันน้อยนิดของผม จึงอยากเรียนถามท่านผู้รู้ว่า  เพราะเหตุดังฤาอาณาจักรล้านนาหลังจากพญามังราย  จึงร้าวฉานตัดญาติขาดมิตรกับกรุงสุโขทัย  พะเยา  แพร่ และน่าน?  ก่อนถึงยุคพญาติโลกราช  อาณาจักรล้านนาเหลืออาณาเขตแคบๆ เพียงเชียงใหม่  แม่ฮ่องสอน  ลำพูน ลำปาง และเชียงราย  ครั้นพญาติโลกราช  ครองราชย์แล้ว  ทรงขยายพระราชอำนาจโดยส่งเจ้าหมื่นด้งนครเป็นแม่ทัพใหญ่  ยกไปตีเมืองแพร่และเมืองน่าน   ผมเรียนถามท่านที่เคยอ่านทราบรายละเอียดของสงครามทั้ง ๒ เมืองนี้  ว่าท่านมีความรู้สึกอย่างไร?  ส่วนท่านที่ไม่เคยอ่านก็โปรดอ่านจากที่ผมเขียนเล่าย่อๆ คือ

                      สงครามเมืองแพร่ : เมื่อกองทัพเจ้าหมื่นด้งนคร  ซึ่งเป็นพระญาติและเจ้านครลำปางด้วย  ยกทัพไปล้อมเมืองแพร่   แต่ไม่มีใครออกรบเพราะเจ้าเมืองแพร่ถึงแก่พิราลัย  พระชายาจึงให้ปิดเมือง  มีทหารป้องกันเข้มแข็งไม่ยอมแพ้   เจ้าหมื่นด้งนครละอายใจ  จึงให้คนนำสารไปกราบทูลพญาติโลกราช  เพื่อขอพระราชานุญาติอันเชิญ "พระมหาเทวี" แห่งนครเชียงใหม่มาทรงเป็นแม่ทัพใหญ่ทำสงคราม "ศึกสองราชนารี"  สู้รบตบตีกันจนถึงขนาดเชียงใหม่ใช้อาวุธลับเรียกว่า "สลาเหิน" พิชิตเมืองแพร่สำเร็จ

                      สงครามเมืองน่าน :  กองทัพเจ้าหมื่นด้งนครยกไปตั้งทัพเผชิญอยู่หน้ากำแพงเมืองน่าน แต่ไม่เข้าตี  เพียงส่งคณะทูตเข้าไปชี้แจงสถานการณ์ให้เจ้านครและคณะกรรมการเมืองทราบ และพิจารณาเลือก ๒ ทาง คือ

                      ๑.   ถ้าต่อสู้  :  กองทัพเชียงใหม่จะต้องตีแตกได้เช่นเดียวกับเมืองแพร่ และจะตั้งคนเข้าปกครองเมืองแทน

                      ๒.   ถ้ายอมสวามิภักดิ์  :  เปิดประตูเมืองโดยดี  ก็จะไม่ยึดครองเมือง  เพียงแต่ยอมอยู่ในอำนาจสั่งการ และให้ชาวเมืองน่าน ร่วมศรัทธากับชาวเชียงใหม่-ลำปาง  สร้างพระพุทธรูปขึ้นไว้เป็นอนุสรณ์แห่งสัมพันธไมตรี

                      เดชะพุทธบารมี...!  ทางเมืองน่านเลือกประการที่สอง  เราจึงมีพระพุทธรูปอันงามด้วยพุทธศิลป์แบบเชียงใหม่  ประดิษฐานอยู่ที่วิหารวัดสวนตาล  นอกกำแพงเมืองน่าน  เป็นพระพุทธรูปที่ชาวเมืองน่านบริจาคเงินทอง  และช่างหลวงจากราชสำนักพญาติโลกราชมาหล่อสร้างนานหลายเดือนจึงเสร็จการ

                      คำถามของผมก็คือ....ลักษณะการพิชิตชัยตามที่พญาติโลกราชกระทำต่อเมืองแพร่  เมืองน่านดังกล่าว  เป็นเหตุผลเพียงพอที่ชาวล้านนายุคนั้นจะถวายพระสมัญญาแด่พระองค์ว่า "ธรรมิกราช" ....ได้หรือไม่?

                      เรื่องที่สี่  :  ผมเคยเขียนเล่ามาแล้วว่าพญาติโลกราชทรงอุทิศพระราชทรัพย์ไปมากในการสร้างวัดมหาโพธาราม  ที่ชาวบ้านเรียกตามรูปลักษณ์อันโดดเด่นว่า "วัดเจ็ดยอด" มีกุฎิอาสนะสำหรับพระสงฆ์พร้อมบริบูรณ์  แล้วทรงอาราธนาพระเถระผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกจากแคว้น และเมืองต่างๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักรมาร่วมกันกระทำสังคายนาพระไตรปิฎก  ต่อมาก็ร่วมกันแต่งชาดกขึ้น ๕๐ เรื่อง  เรียกว่า "ปัญญาสชาดก"   พญาติโลกราชทรงให้จารึกพระไตรปิฎก และปัญญาสชาดก  พระราชทานแจกจ่ายพระเจ้าแผ่นดิน  และเจ้าเมืองต่างๆ บรรดาที่นับถือพุทธศาสนา
 
                      ถามว่า  พระกรณียกิจที่ทรงทำถวายแด่พระศาสนาเช่นนี้  สมควรแก่การถวายราชสมัญญาแด่ พญาติโลกราช  ว่า..."พระเจ้าธรรมิกราช" ได้ไหม?

                      ถ้าท่านตอบว่า "ได้"  ก็นับว่าเป็นผู้มีใจเป็นธรรม  แต่ก็ช้าไปกว่า ๕๐๐ ปี เพราะเมื่อครั้งกระนั้น  บรรดาพระเถรานุเถระทั้งหลายที่มาร่วมทำงานที่วัดมหาโพธาราม  ได้ถวายพระพรแด่พญาติโลกราช ทรงเป็น "มหาราช" ในฐานที่ทรงทำนุบำรุงพระศาสนาดุจพระเจ้าอโศกในอินเดีย  ก็ได้รับถวายพระราชสมัญญา "มหาราช" เช่นกัน  แต่เป็นมหาราชทางธรรมะ คือ "ธรรมิกราช" มิใช่ "มหาราช" ด้านการสงคราม เช่น สมเด็จพระนเรศวร และสมเด็จพระเจ้าตากสิน

                      เรื่องที่ห้า  :  ผมถามตรงๆ ว่า "....ผู้ใดสร้างพระพุทธชินราช ที่พิษณุโลก?"

                                     ก. พญาลิไท  แห่งกรุงสุโขทัย?
                                     ข. สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ?
                                     ค. พระอินทร์แปลง?
                                     ง. พระเจ้าธรรมิกราช?

                      ก.  พญาลิไท  :  ตามการสันนิษฐานดั้งเดิมที่ใช้เหตุผลหลัก ๒ ประการสนับสนุน คือ

                      ๑.  ทรงใฝ่พระศาสนาโดยทรงผนวช  และทรงนิพนธ์ศาสนวรรณกรรมสำคัญที่ชื่อ "เตภูมิกถา" หรือ "ไตรภูมิพระร่วง"

                      ๒.  ยุคกรุงสุโขทัย เป็น "ยุคทอง" ของการสร้างวัดวาอารามอันวิจิตรพิสดาร และการหล่อสร้างพระพุทธรูปที่มีเอกลักษณ์สวยงาม  พระพุทธรูปที่เป็นประธานในโบสถ์วิหารของวัดสำคัญในกรุงเทพฯ ก็ล้วนอัญเชิญมาจากอาณาจักรสุโขทัย  เช่นที่  วัดสุทัศน์ฯ  วัดพระเชตุพนฯ  วัดบวรนิเวศ และวัดไตรมิตรฯ  เป็นต้น

                     จุดอ่อนของข้อนี้  คือ  ผมสงสัยว่า พญาลิไท  ทรงมีศักยภาพเพียงพอที่จะนำทรัพย์สินเงินทองและกำลังพลมากมายยกจากกรุงสุโขทัยมาสร้างพระพุทธรูปใหม่ใช้เวลาหลายเดือนอยู่ที่พิษณุโลก?  เพราะในขณะนั้นสถานภาพของราชวงศ์สุโขทัยง่อนแง่น  เพราะกรุงศรีอยุธยาได้ก่อตั้งขึ้นและคุกคามอาณาจักรสุโขทัย  จนต้องขอความช่วยเหลือจาก "ท้าวผากอง" เจ้าเมืองน่าน  ดังปรากฏคำมั่นสัญญาในศิลาจารึกหลัก "ปู่สบถหลาน" นั้นเอง

                      ข.  สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ  :  ผมพิสูจน์โดยอาศัยหลักการ หรือทฤษฎีที่ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร  แนะนำไว้  สรุปว่า  สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ  ทรงทำสงครามยืดเยื้อและพ่ายแพ้ต่อพญาติโลกราช  แห่งนครเชียงใหม่  ซึ่งเคยยกกองทัพมาเผชิญทัพกันที่สองฝั่งแม่น้ำน่าน  ฐานทัพของพระบรมไตรโลกนารถ คือ พื้นที่ตัวจังหวัดพิษณุโลกปัจจุบัน  แต่มิได้ใหญ่โตมโหฬารอะไร

                      ฐานทัพของพญาติโลกราช  คือ  ฝั่งที่ตั้งวัดศรีรัตนมหาธาตุ  ที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชนั่นเอง  กองทัพพระบรมไตรโลกนารถรบแพ้  จึงตั้งมั่นอยู่ในเมือง  แต่กองทัพเชียงใหม่ก็ไม่อาจยึดเมืองได้  จึงตั้งสกัดอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน  กักทัพกรุงศรีอยุธยาไว้หลายเดือนจนขาดแคลนเสบียง  พญาติโลกราชทรงตั้งพระทัยจะจับเป็นพระบรมไตรโลกนารถให้ได้  ทรงกำชับทหารให้กวดขันแน่นหนา กลับปรากฏว่า  พระบรมไตรโลกนารถทรงปลอมพระองค์ลอบลงแพกับราชองครักษ์  ปล่อยให้แพลอยล่องน้ำหนีจากวงล้อมได้ในกลางดึกคืนหนึ่ง

                      ในที่สุด สองอาณาจักรยุติสงคราม  โดยสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ทรงรับความพ่ายแพ้ยอมสละราชสมบัติออกทรงผนวช ณ วัดจุฬามณี  ซึ่งทรงสร้างเฉพาะกิจอยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่าน ตราบสิ้นพระชนม์ในสถานะเพศบรรพชิต  ทรงขอบิณฑบาตคืน เมืองเชียงชื่น  ซึ่งพญาติโลกราชก็ยอมถวาย ถือว่าถวายพระสงฆ์ มิใช่แก่ศัตรูคู่ศึก

                       คำถามสุดท้ายของผม  คือ  ถ้าสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงสร้างพระพุทธชินราชขึ้นจริง  เหตุใดจึงไม่ทรงจำพรรษาที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  ที่มีพระพุทธชินราชประดิษฐานอยู่  ทำไมจึงมาจำพรรษาอยู่ที่วัดจุฬามณี   ถ้าผมไม่เคยเห็นวัดจุฬามณี  ผมก็ยังคิดเพลินไปกับนักวิชาการรุ่นเก่าที่ (นั่งเทียน)เขียนให้ผู้คนอ่านแล้วเข้าใจว่า "วัดจุฬามณี" คงใหญ่โตโอฬาริก  อย่างที่ผมและเพื่อนหลายคนเข้าใจ

                       ปี ๒๕๑๓-๒๕๑๔  ผมรับราชการที่จังหวัดพิจิตร  แต่ติดต่อเสวนาโดยจดหมายเวียน (เรียกว่า "จดหมายวาร") กับอาจารย์หลายๆ ท่าน เช่น อาจารย์หวน พินธุพันธ์  ดร. ประจักษ์ สายแสง และอาจารย์บัญชา คูเจริญไพบูลย์  สังกัดวิทยาลัยวิชาการศึกษาพิษณุโลก  นอกจากนี้ยังมี  ดร. อัครพงษ์ สัจจวาทิต  สังกัดคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาจารย์ประทีป พฤกษากิจ สังกัดวิทยาลัยครูเทพสตรี ลพบุรี

                       เราชวนกันไปชมวัดจุฬามณี  ที่เกือบหาไม่พบเพราะสภาพเหมือนวัดร้าง  มีกุฏิไม้หลังเล็กๆ อยู่ ๒-๓ หลัง  โดยเฉพาะโบสถ์โบราณที่เจ้าอาวาสบอกว่าสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถทรงสร้างด้วยศิลาแลง  พวกเราเอาเชือกวัดรอบนอกโบสถ์  ได้ขนาดกว้างราว ๖ เมตร และยาวราว ๘ เมตร  สมกับเป็นที่ทรงปฏิบัติธรรมจำพรรษาเฉพาะองค์จริงๆ

                       ค.  พระอินทร์แปลง  :  ที่จริงคนสมัยนี้ย่อมไม่มีใครเชื่อเรื่องอภินิหารทำนองนี้  แต่ยังมีคนอ้างถึงตำนานการหล่อพระพุทธชินราช  ว่านายช่างที่เป็นคนทำแม่พิมพ์ไม่สำเร็จ  เกิดแตกร้าวก่อนทุกที  กระทั่งมีชายชรานุ่งห่มเป็น "ชีปะขาว" เข้ามาช่วยแนะนำกำกับการหล่อจึงสำเร็จ แต่ "ชีปะขาว" กลับเดินออกจากวัดและหายไป   แม้ผมไม่เชื่อตำนาน  แต่ก็เข้าใจได้ว่าผู้แต่งอาจจะรู้ดีว่าใครเป็นผู้สร้างพระพุทธชินราช  แต่ไม่อาจ "ฟันธง" ลงไปได้  จึงยกให้เป็นเรื่องอภินิหารจากพระอินทร์แปลงลงมาเป็นตำนานเพี้ยนๆ  จึงมีอยู่ทั่วไปในเมืองไทย  ที่น่าเกลียดมากคือ  แอบอ้างเป็นพระพุทธวัจนะก็มีมากมาย  กฏหมายก็เอาผิดคนเขียนไม่ได้

                       ง.  พระเจ้าธรรมิกราช  :  อาจารย์ ดร. อัครพงศ์ สัจจวาทิต  เพื่อนสนิทของผมเชื่อมาตลอดเวลากว่า ๔๐ ปี  ว่า  "พระเจ้าธรรมิกราช" ที่พงศาวดารเหนือ (พายัพ) กล่าวถึงว่า  ทรงเป็นผู้สร้างพระพุทธชินราชนั้น  ควรจะเป็น "พญาติโลกราช" มากกว่าจะเป็น "พญาลิไท"  อย่างที่นักประวัติศาสตร์รุ่นเก่าตีความไว้  ผมก็เห็นเหมือนกัน  แต่  ดร. อัครพงศ์  เป็นผู้ริเริ่มความคิดเช่นนี้ และมีโอกาสได้เห็นรูปลักษณ์ของพระพุทธรูปตามพุทธศิลป์เชียงใหม่ตลอดเวลากว่า ๔๐ ปีที่เป็นอาจารย์คณะศึกษาศาสตร์  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  และยังมีโอกาสดีที่มีลูกชายรับราชการอยู่ที่พิษณุโลก  ไปเยี่ยมลูกชาย  ก็ได้ไปกราบพระพุทธชินราช  ดูรูปลักษณ์พุทธศิลป์แล้ว  ยิ่งเชื่อว่าช่างศิลป์จากราชสำนักเชียงใหม่เป็นผู้แกะแบบพิมพ์หล่อพระพุทธรูปองค์นี้แน่

                       แต่เมื่อผมสนับสนุนให้ ดร. อัครพงศ์ เขียนเผยแพร่  ท่านปรารภว่าเราเป็นชาวล้านนา คือ ดร. อัครพงศ์ เป็นชาวเชียงราย  ทำงานอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  ส่วนผมเป็นชาวลำปาง เขียน หรือแสดงความคิดเห็นออกแนวเชิดชูเกียรติกษัตริย์ล้านนา ย่อมเสี่ยงต่อ (มีงานเข้า) ถูกด่าว่า เราป่วยเป็น "โรคถิ่นนิยมขึ้นสมอง"  แต่ผมรอมาถึงวาระสำคัญ คือ "นครเชียงใหม่ครบ ๖๐รอบปีนักษัตร" ในปี ๒๕๕๙ นี้  ผมจึงยินดีให้ผู้ไม่เห็นด้วยช่วยทักท้วงด่าว่าได้นะครับ

                       ผมเสนอให้องค์กรใดก็ได้ของราชการ  เป็นเจ้าของเรื่อง  ใช้วิธีพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดย

                       ๑.  ถ่ายทำภาพเชิงซ้อนพระพุทธรูป ๔ แบบ คือ

                            ๑.๑.  ตัวอย่างพระพุทธรูปในเชียงใหม่ที่สร้างสมัยพญาติโลกราช
                            ๑.๒.  พระพุทธรูปประธาน ณ วัดสวนตาล  อำเภอเมืองน่าน
                            ๑.๓.  พระพุทธรูปยุคราชวงศ์พระร่วง  ทั้งในเขตอาณาจักรสุโขทัย และที่เชิญ
                                    มากรุงเทพฯ
                            ๑.๔.  พระพุทธชินราช  ที่เมืองพิษณุโลก

                       ๒.  นำภาพทั้ง ๔ ชุด  มาเปรียบเทียบกัน  วิเคราะห์หาความละม้ายคล้ายเหมือนในที่สุดจะได้ความจริงออกมาซึ่งทุกฝ่ายควรยอมรับผลพิสูจน์  เช่น  สมมุติ

                            ภาพเชิงซ้อนในข้อ ๑.๔. เหมือนคล้ายกับภาพเชิงซ้อนในข้อ ๑.๑. หรือ ๑.๒. ก็ต้องถวายพระเกียรติคืนไปแด่ พระเจ้าติโลกราชมหาราช  เถิด

                            แต่ถ้าภาพในข้อ ๑.๔.  เหมือนคล้ายกับภาพเชิงซ้อนในข้อ ๑.๓. ละก็  ผมและ ดร. อัครพงศ์ ก็ยอมคุกเข่าลงกราบโดยดุษณียภาพ ครับ