ความ(ไม่)รู้เรื่องภาษาไทย ตอน : อ่านอย่างไรจึงไม่เชย
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงริเริ่มการสถาปนาพระราชวงศ์ขึ้น "ทรงกรม" คือ พระราชชนนีทรงเป็นที่ "กรมพระเทพามาตุ" (อ่านว่า เท-พา-มาด) คำว่า "มาตุ(มาด)" หมายถึง มารดา ส่วนเทพ/ เทพา หมายถึงมหากษัตริย์อันเป็นสมมุติเทพ ตามคติพราหมณ์ ต่อมาการคัด/ เขียนเพี้ยนเป็น "เทพามาตย์" "กรมพระเทพามาตย์" ตำแหน่งพระราชชนนีของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ความหมายของคำว่า "มาตย์" คือ อมาตย์/ อำมาตย์/ ขุนนาง ย่อมเพี้ยนจากความหมายเดิมที่ถูกต้อง
ครั้นสมัยรัชกาลที่ ๕ และที่ ๖ ได้มีการก่อตั้งโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาขึ้นในจังหวัดต่างๆ ดังปรากฏเรื่องราวในพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๖ เมื่อครั้งทรงเป็นสยามมกุฏราชกุมาร เสด็จประพาสยังหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทรงใช้พระนามแฝงว่า "หนานแก้วเมืองบูรพ์" ทรงพระนิพนธ์เรื่องลิลิตพายัพ การที่ทรงใช้พระนามว่า "หนานแก้ว เมืองบูรพ์" มีที่มาจากพระนามเดิมของพระองค์ว่า "วชิราวุธ (วชิร = วิเชียร = แก้ว) ส่วนคำว่า "หนาน" เป็นสรรพนามที่ชาวล้านนาใช้เรียกผู้ชายที่เคยบวชเรียนมาแล้ว
คำว่า "เมืองบูรพ์" หมายถึงชื่อภาษาปากที่ชาวไทยยุคโน้นใช้เรียกแทน "พระนครศรีอยุธยา" ว่า กรุงเก่า อันเป็นสร้อยของนามราชสกุล "ณ อยุธยา" นั่นเอง
โรงเรียนหลายแห่งที่เชียงใหม่ ได้รับพระราชทานนาม เช่น ยุพราชวิทยาลัย แต่ที่ลำปาง พระราชทานนาม ดังนี้
✪ วันที่ซาวหกนั้น เสด็จไป
ทรงเปิดโรงเรียนไทย ฤกษ์เช้า
บุญวาทย์วิทยาลัย ขนานชื่อ ประทานนอ
เป็นเกียรติยศแด่เจ้า ปกแคว้นลำปางฯ
"หนานแก้ว เมืองบูรพ์"
โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยก่อตั้งขึ้นด้วยที่ดิน และทรัพย์สินบริจาคโดยมหาอำมาตย์โทพลโจเจ้าบุญวาทย์ วงษ์มานิต เจ้าผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย
ปลายปี ๒๕๓๔ ชมรมครูภาษาไทยเชิญศาสตราจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพไปบรรยายความรู้เกี่ยวกับหลักและการใช้ภาษาไทย เผอิญขณะนั้นผมเป็นกรรมการสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย ได้รับมอบหมายให้พานักเขียนจากประเทศจีนที่เป็นแขก(เหย้า-เยือน) ของสมาคมฯ ไปล่องใต้ผมจึงรับอาสาอาจารย์ปรเมศวร์ คงสมัย ผู้ประสานงานของชมรมครูฯ ช่วยพาท่านอาจารย์ไปกลับพร้อมคณะด้วย
อาจารย์ปรเมศวร์ คุ้นเคยกับผมและภรรยามานานตั้งแต่เขาเรียนวิชาเอกภาษาไทยที่ วศ. ประสานมิตร รุ่นถัดจากภรรยาของผม ซึ่งตอนนั้นยังหมั้นกันอยู่ ผมกับอาจารย์ปรเมศวร์ร่วมกันเป็นครูสอนภาษาไทยที่โรงเรียนพณิชยการสีลม ครั้นเรียนจบเขาก็กลับมารับราชการสอนที่โรงเรียนวิเชียรมาตุ ส่วนผมเรียนจบคณะเศรษฐศาสตร์ ก็ไปตามทางของผม คือ ทำงานที่กระทรวงพาณิชย์
อาจารย์ปรเมศวร์จัดรถมรับคณะ และเรียนชี้แจงต่อศาสตรจารย์ฐะปะนีย์ว่า เดิมจะใช้สถานที่ ณ โรงเรียนวิเชียรมาตุ ซึ่งเขาเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการฯ แต่เผอิญทางจังหวัดขอใช้สถานที่จัดประชุม จึงย้ายงานเราไปที่โรงเรียนสภาราชินีแทน ทุกๆ ครั้งที่ศาสตราจารย์ฐะปะนีย์ และอาจารย์ปรเมศวร์ ออกชื่อโรงเรียนวิเชียรมาตุ ก็จะเป็นเสียงท้ายว่า "มาด" ซึ่งผมไม่สะดุดหูอะไร เพราะมันถูกต้องตามหลักภาษาและตำนานความเป็นมาแล้ว
ต่อมาอีกหลายปี ผมไปราชการ ผ่านมาจังหวัดตรัง ได้นัดกินข้าวกับอาจารย์ปรเมศวร์แล้วต่อว่าทำไมจึงให้คนเปลี่ยนชื่อโรงเรียนเป็น "วิ-เชียน-มา-ตุ" แทนที่ "วิ-เชียน-มาด" อาจารย์ปรเมศวร์เป็นเสมือนน้องชายผม จึงได้ชี้แจงเสียงอ่อยๆ ว่าตนไม่ได้อยู่โรงเรียนนี้ เพราะไปเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนอีกแห่งหนึ่ง จึงได้ยินคนเรียกกันเพี้ยนเป็น "วิ-เชียน-มา-ตุ" แล้ว ตนสอบถามเพื่อนเก่าที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า มาจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาเยี่ยมโรงเรียน ได้ยินคนออกชื่อโรงเรียนว่า "วิ-เชียน-มาด" ท่านก็ท้วงว่าไม่ถูกนะ ต้องเรียกชื่อ "วิ-เชียน-มา-ตุ" ซี่ คนคงเกรงบารมีท่าน จึงจำต้องเรียกตามท่านอยู่หลายปี
จนกระทั่ง มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ คนก็หมดความกังขาว่าชื่อโรงเรียนวิเชียรมาตุ จังหวัดตรัง ควรออกเสียงอ่านอย่างไรจึงจะถูกต้อง
ผมลองสงบจิตคิดดีๆ แล้วก็น่าให้อภัยแก่คนไทยทั้งหลายที่ต้องอ่าน/ พูดภาษาไทย/ ภาษาแม่ของตนเองผิดๆ เพราะไม่ใช่ความผิดของคนไทยในอดีต และปัจจุบันไม่กี่คนที่เผอิญเป็นผู้มีอำนาจในการกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาภาษาไทย พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้ดูถูกเหยียดหยามวิชาภาษาไทย โดยกำหนดคะแนนวิชาภาษาไทยน้อยกว่าคะแนนวิชาภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาไวยากรณ์ไทยที่เคยให้เรียนเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น กำหนดคะแนนเพียง ๑๐ คะแนน แม้เปลี่ยนชื่อเป็นวิชาหลักและการใช้ภาษาไทย แต่ก็ยังกำหนดคะแนนต่ำต้อยน้อยกว่าคะแนนภาษาต่างประเทศอยู่ดี นักเรียนส่วนใหญ่จึงทิ้งคะแนนวิชาภาษาไทย ที่ทั้งเรียนยาก และได้คะแนน "แสนหิน" ไปลงทุนเรียนกวดวิชาภาษาต่างประเทศ และหรือ วิชาคณิต/ วิทยาศาสตร์แทนก็ได้(จ๊ะ)
อีกทั้งในหลายสิบปีที่ผ่านมา การสอบเข้ามหาวิทยาลัย(ไทย) แต่กลับไม่บังคับสอบวิชาภาษาไทย กติกาแบบนี้มีแต่ประเทศบางแห่งในทวีปอาฟริกา เพราะมีหลายชนเผ่าต้องใช้ภาษาของเจ้าอาณานิคม(นายในอดีต)มาใช้สอบแทน เดชะบุญที่ยังมีบุญพระบารมีของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินคุ้มครอง จึงมีการบังคับให้สอบวิชาภาษาไทยในการสอบคัดเลือกแข่งขันในระดับต่างๆ ของระบบการศึกษา และส่วนราชการ นอกจากกำหนดคะแนนวิชาภาษาไทยไว้น้อยนิดแล้ว หลักสูตรหรือเนื้อหาสาระที่กำหนดให้เรียนยังอัด "แน่นเปรี๊ยะ" ตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้ายของตำราเรียน ซึ่งดูรูปลักษณ์ภายนอก เป็นเพียงหนังสือเล่มบางๆ ไม่ถึงร้อยหน้า แต่แทนที่จะอ่านสนุกๆ คือมีตัวอย่างเยอะๆ เพื่อให้นักเรียนได้ "รู้มากเห็นมาก" สมองจะได้ลองคิดขยายผลตาม เปล่า... หามีไม่... จึงอ่านเรียนวิชาไวยากรณ์ไทยอย่างแห้งแล้งน่าเบื่อหน่าย
ยังดีที่ได้เปลี่ยนชื่อวิชาจากไวยากรณ์เป็น หลักและการใช้ภาษาไทย ราชการก็เพิ่มคะแนนสอบขึ้น และเป็นวิชาบังคับสอบทำให้นักเรียน(จำต้อง) สนใจวิชานี้ อีกทั้งมีครูภาษาไทยบางท่าน เช่น ศาสตราจารย์ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ ครู "ลิลลี่" และอาจารย์จงจิต นิมมานนรเทพเรียบเรียงคู่มือการเรียนการสอนหลักและการใช้ภาษาไทย
เมื่อครั้งยังเรียนวิชาไวยากรณ์ไทยในชั้นมัธยมต้นนั้น แม้ผมจะเบื่อหน่าย แต่ก็ฝีนใจเรียนเพื่อเป้าหมาย ๒ อย่าง คือ
(๑) ลบปมด้อย ที่ตัวเองเป็นลูกผสมจีนกับลาว (คนเมือง) ภาษาไทยกลางที่ใช้ในโรงเรียนเป็น "ภาษาที่ ๓" ของผม ผมต้องพยายามเรียน และใช้ให้เข้าใจดี
(๒) ผมงกคะแนนสอบ เพราะตอนสอบ เพราะตอนสอบเข้าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยนี้ ผมสอบได้ที่ ๑ ของจังหวัด จึงมีเกียรติภูมิที่เด็กชายอายุ ๑๑ ขวบ ต้องรักษา แม้ว่าจะสอบได้เพียง ๕ ใน ๑๐ คะแนนก็ต้องไม่ให้สอบตกแม้แต่วิชาเดียว แต่ทั้งห้องก็ได้คะแนนไม่เกิน ๕ ลงไปถึงกิน "ไข่ต้ม" ก็มี
ครั้นเรียนๆ ไป ๒-๓ ปี ผมนำหลักการใช้ภาษาไทยมาคอยจับ และวิเคราะห์สังเคราะห์ ชื่อ บุคคล สถานที่ พิธีกรรม ฯลฯ ต่างๆ ที่มีอยู่หรือเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แล้วลองอ่าน/ พูดในใจ ใหม่ๆ ก็ผิดๆ ถูกๆ แน่ แต่เมื่อได้เรียนเรื่องหลักการใช้และการผสม "คำสมาส/ คำสนธิ" แล้วจึงเข้าใจและผิดน้อยลงๆ จนเกือบไม่ผิด ยกเว้นชื่อเฉพาะซึ่งได้กำหนด หรือต้องการให้อ่าน/ พูดเช่นนั้น
ถามผมไหมว่า "คำสมาส/ คำสนธิ" คืออะไร ใช้อย่างไรจึงจะถูก
ถ้าผมโบ้ยว่า "จะไปรู้เหรอะ" ผมก็เสียคนซีครับ ก็ภรรยาของผมน่ะหัวหน้าหมวดวิชาภาษาไทย และครูภาษาไทยดีเด่นของคุรุสภาพ ปี ๒๕๓๗ นะครับ ใครจะปล่อยโข่งให้ภรรยาขายหน้าล่ะครับ
คำสมาส : (อ่านว่า "สะ-หมาด" นะครับ) เป็นการนำคำศัพท์จากภาษาบาลี หรือสันสกฤตมาผสมแบบเรียงติดกันเพื่อเพิ่มความหมายเวลาอ่าน/ พูดออกเสียงให้ท้ายพยางค์คำก่อนมีเสียงเนื่องต่อมาเชื่อมกับเสียงต้นพยางค์ของคำต่อไป ตัวอย่าง เช่น
* รัฐ อ่านว่า รัด * บาล อ่านว่า บาน
เมื่อนำสองคำนี้มาสมาสเข้าด้วยกันเป็น รัฐบาล จึงต้องอ่านว่า "รัด-ถะ-บาล"
* ชาติ อ่านว่า ชาด * พันธ์ อ่านว่า พัน
เมื่อนำสองคำนี้มาสมาสเข้าด้วยกันเป็นชาติพันธ์ จึงต้องอ่านว่า "ชาด-ติ-พัน" แต่ในปัจจุบันมีสักกี่คนที่อ่านถูกต้องตามหลักคำสมาส
พึงจำไว้ด้วยว่า โดยปกติถ้าไม่อยู่ในสถานะคำสมาส คำท้ายพยางค์จะไม่ออกเสียงสระเนื่องไป เช่น รัฐฉาน จะไม่อ่านว่า รัด-ถะ-ฉาน เพราะ "ฉาน" ไม่ใช่คำบาลี/ สันสกฤต เป็นชื่อรัฐของชนชาติไทยใหญ่(ไต)
อนึ่ง แม้อยู่ในสถานะคำสมาสแต่ถ้าเป็นคำท้ายสุด ก็ไม่ออกเสียงพยางค์ต่อเนื่อง เช่น โลกธาตุ อ่านว่า โลก-กะ-ทาด ไม่อ่านว่า โลก-กะ-ทาด-ตุ คำว่า มาตุ อยู่โดดๆ ก็อ่านว่า มาด อยู่ท้ายพยางค์คำสมาสก็อ่านว่า มาด เช่นกัน
เมื่อไหร่จะอ่านว่า "มา-ตุ" ก็ต้องให้ มาตุ เป็นส่วนหน้าของคำสมาส เช่น มาตุคาม อ่านว่า มา-ตุ-คาม
ที่จริงสังคมไทยก็ไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่โต หรือเสียหายร้ายแรงนัก ถ้าจะมีคนอ่าน/ พูดผิดๆ บ้าง เช่น พิธีกรคนอ่านข่าวออกวิทยุ/ โทรทัศน์ อ่านผิดๆ ประจำ มิหนำซ้ำอ่านผิดเหมือนกันทุกช่องด้วย เช่น วัดแห่งหนึ่งชื่อ "สมรโกฎิ" ทุกช่องอ่าน "สะ-หมอน-ระ-โก-ติ" ผิดๆ ทุกคน ทำไมไม่อ่านให้ถูกๆ ว่า "สะ-หมอน-ระ-โกด" เล่าหนอ อ๋อ... คงมีที่ปรึกษาที่ไม่ค่อยรู้(แต่มีอำนาจ) ขี้แนะให้น่ะแหล่ะ
อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ชื่อ พชร อิศรเสนา ณ อยุธยา บอกให้ผู้บังคับบัญชาทราบว่า บิดาตั้งชื่อให้ อ่านว่า "พด" ท่านย้ำว่าไม่ใช่ "พด-ชะ-ระ" ต่อมามีข่าวเกี่ยวกับตัวท่านไปออกสื่อ ปรากฏว่าผู้อ่านข่าวโทรทัศน์ช่องหนึ่ง อ่านชื่อท่านอย่างคล่องคอออกจอแก้วว่า... "พะ-ชอน-อิ-สอน-สะ-เหนา" ผิดทุกคำ... แต่แทบไม่มีใครรู้ นอกจากคนในแวดวงของกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งคุยกันเฮฮาอยู่ไม่กี่วัน ก็ลืมหมดแล้วครับ ทั้งนี้ผู้อ่านผิด กับผู้ถูกอ่านผิด ไม่ได้เป็นนักการเมือง จึงไม่มีการนำไปขยายผลทางการเมือง ทั้งๆ ที่กรณีนี้ก็อ่านผิดมากกว่าการอ่านคำว่า "คอนกรีต" เป็น "คอ-นก-รีด" ซะอีกแน่ะ ... เฮ่อ แต่ทำไม "คอ-นก-รีด" จึงดังอยู่ตั้ง ๒-๓ ปี โธ่... ไม่น่าถาม
ดังนั้น ผู้มีตำแหน่งหน้าที่สูงในสังคม หรือวงการเมืองไทย พึงแสวงหา "ที่ปรึกษา" ที่รอบรู้ภาษาและวัฒนธรรมไทยมาเป็นที่พึ่งสักคน โดยลดทนายความลงไปสักคนก็ได้
ดูอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งปฏิวัติยึดและใช้อำนาจมาตรา ๑๑๗ เด็ดขาด ถึงขนาดสั่งยิงเป้า "มือเผา" ตลาดพลู ณ สถานที่เกิดเหตุในขณะควันไฟยังกรุ่นๆ นักเขียน นักหนังสือพิมพ์คนดังหลายสิบคนถูกนำไปไว้เรือนจำลาดยาว ยุคสมัย ๒๕๐๑-๒๕๐๖ นั้น แทบไม่มี "ริ้นไร" มาไต่ตอมรัฐบาลได้เลย ด้านสหรัฐอเมริกาและยุโรปก็ญาติดีจู๋จี๋กับไทยแนบแน่น ถึงขนาดนี้แล้ว จอมพลสฤษดิ์ยังอุตส่าห์ไป(เอง)เชิญหลวงวิจิตรวาทการ ผู้รู้รอบทั้งด้านการต่างประเทศ ภาษา และศิลปวัฒนธรรมไทย โดยแต่งตั้งให้เป็น "ปลัดบัญชาการ" ทำเนียบนายกรัฐมนตรี
ท่านลองย้อนไปดู/ ฟัง คำขวัญ คำปราศรัยของจอมพลสฤษดิ์ตลอด ๖ ปีนั้นดูเถิด ผมไม่เคยได้รู้เห็นว่ามีตรงไหน "เชย" แม้แต่คำเดียว แต่... ข้อสำคัญจอมพลสฤษดิ์ โดยส่วนตัวอ่อนน้อมและไม่โง่ด้วย