Monday, August 21, 2017

ย้อนอดีต เยือนแดนยุทธนาวีที่...แยงซีเกียง (เยือนเมืองแมนแดนมหาสันติสุข)

จักรพรรดิหมิงไท่จู้
              อาหารเช้าวันนี้แบ่งเป็น ๒ โต๊ะตามเคย  แต่ไม่ค่อยปกติเพราะวันนี้กลุ่มแม่บ้านและสุภาพสตรีพากันไปยึดพื้นที่รวมกันหมด  ผู้ชายก็ต้องไปรวมอยู่อีกโต๊ะหนึ่งโดยปริยาย   โต๊ะแม่บ้านติดใจเรื่องราวของ "จูหยวนจาง" หรือจักรพรรดิหมิงไท่จู่ หม่าเหนียงเหนียง ฮองเฮา(มเหสี)"  ถึงขนาดที่ว่า "หม่าเหนียงเหนียง" สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่ต้นๆ รัชกาลแล้ว  แต่จักรพรรดิฯ องค์นี้ไม่ทรงยกย่องใครขึ้นเป็น "ฮองเฮา" อีกเลยจนสิ้นรัชกาลที่จงรักภักดีและเชื่อฟังต่อ "

เรื่องนี้สุภาพสตรีแม่บ้านยกย่องสรรเสริญมาก  จึงแยกวงไปสนทนา   ปราศัยกันให้เอนจอยปาก  เสียงดังข้ามโต๊ะมาเข้าหูพวกโต๊ะผู้ชายที่กำลังพุ้ยข้าวต้มกันเพลินอยู่   ทำเอาบางคนสะดุ้งกลืนข้าวต้มไม่ลงยังกะเผลอกินตะเกียบลงไปติดคอ  เพราะเสียงพวกเธอข้ามมาว่า

คนแรกว่า            "...พวกผู้ชายน่ะเหรอ  ที่ไหนจะมีดีอย่าง จูหยวนจาง  เมียตายไปหลายสิบปี
                        ยังไม่ยอมมีเมียใหม่...!"
เสียงคนที่สอง       "...เมียตายยังไม่ทันเผา  ก็เอาคนใหม่มาร่วมเตียงแล้ว!"
เสียงคนที่สาม       "...เฮ่อ...เมียแค่ป่วยไปนอนโรงพยาบาลเท่านั้นแหละ...พ่อก็แอบเอามา
                         สำรองไว้แล้ว"
เสียงคนที่สี่          "เช้อ...!  ขนาดเมียยังดีๆ  ไม่มีเจ็บไม่มีป่วย  สวยพริ้อยู่แท้ๆ  ยอดชาย
                        ยังแอบไปมีไว้ก่อนตั้งนานแล้ว... "

ฯลฯ

                 ข้าวต้มเช้าวันนี้  ทางโต๊ะฝ่ายชายนอกจากจะคอฝืดจืดสนิทแล้ว  ยังกินกันเงียบจ๋อยไม่ค่อยเอะอะเฮฮาอย่างเช้าวันอื่น  ก้มหน้างุดๆ พุ้ยๆ แล้วก็อิ่ม  จะเพราะด้วยความตื้นตันในความดีของ "จูหยวนจาง"...(หรือเพราะ "ร้อนตัว" ก็ไม่รู้นะ)  แต่...ก่อนที่จะลุจากโต๊ะ... มีผู้สอบถามถึงความดีงามของแต่ละบุรุษว่าจะมีใครบ้างไหมที่จะซื่อสัตย์ต่อภรรยาเยี่ยง "จูหยวนจาง"??  ทุกคนเงียบงัน  เว้นแต่...กระทาชายนายหนุ่มใหญ่คนหนึ่ง ขอร้องผู้เขียนว่า...

                 "...นี่ท่านรองฯ  ช่วยไปบอกเมียผมทีเถอะว่า  ผมน่ะดีไม่แพ้ "จูหยวนจาง" หรอกนะ  ไม่เชื่อก็ให้เธอลองตายดูสิ...!  รับรองผมไม่ยกใครให้เป็น "หลวง" ซักคน  จะให้เป็น "น้อยๆๆ  หมดเลย!"   สมาชิกชายฮือฮาสนับสนุน  แต่...ผู้เขียนกลับสะดุ้งโหยงคอย่นและร้องว่า

                 "ฮ่วย!  คิดว่าผมบ้าเลือดพอหรือ?  ขืนไปพูดยังไม่ทันจบ  ก็โดนตบ ๒ ต่อ  ทั้งอาซ้อทั้งเมียผม...ต้องตายแหงแก๋!"  เสียงฮาครืนพร้อมกับวงแตกฮือทันที...  ในขณะที่วงสตรีต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก  และลุกตามไปขึ้นรถทัวร์ด้วยกัน


                 สถานที่สำคัญแห่งที่ห้าที่คุณสุรชัยพาพวกเราไปเยือน คือ กองบัญชาการของขบวนการไท้ผิงเทียนกวั๋ว สถานที่นี้คือ  ส่วนหนึ่งของวังเดิมของราชวงศ์หมิง (เหม็ง) ยุค ๓ รัชกาลแรก  ขบวนการไท้ผิงกวั๋ว  เป็นขบวนการต่อสู้ของชาวจีนแท้ (ฮั่นเหริน) ที่รักชาติและต้องการโค่นอำนาจการปกครองของราชวงศ์ชิง(เช็ง) ของชาวแมนจูที่ปกครองจีนอยู่ในขณะนั้น

                 ชนชาติแมนจูเป็นชนชาติมองโกล  ส่วนหนึ่งซึ่งจีนเรียกว่า "หนี่เจิน" ตั้งอาณาจักรจิน (Jin)  สำเนียงแต้จิ๋วคือ "กิม" แปลว่าทองคำ  ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปักกิ่ง  คือ ดินแดนที่ปัจจุบันเป็นมณฑลจี้หลิน (Jilin)  เย่เฟย (เสียงแต้จิ๋ว งักฮุย) รบชนะพวกอาณาจักรจิน หรือกิม และไล่กวาดล้างจนศัตรูล่าถอยไป
นครจี้หลิน
มณฑลจี้หลิน
ภาพจากเว็บไซต์

สำเนียงแต้จิ๋ว "เก็กลิ้ม" กับมณฑลเหยหลงเจียง (Heilongjiang) สำเนียงแต้จิ๋ว "เฮ็กเล่งเจียง"   อาณาจักรจิน หรือกิมเคยร่วมมือราชวงศ์ซ่ง (Song) เหนือ  รบชนะอาณาจักรเหลียว (ชนชาติซี่ตันหรือขี่ไต๋)  ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกับราชวงศ์ซ่งมาหลายรัชกาล  ทำให้อาณาจักรจิน(กิม) เรืองอำนาจมากขึ้นๆ  และรุกรานแย่งชิงดินแดนจีนมากขึ้นๆ  จนที่สุดสามารถล้มราชวงศ์ซ่งเหนือ(เป่ยซ่างหรือปักซ้อง) ได้   เชื้อวงศ์ขุนนางและราษฎรต่างอพยพหนีภัยข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงลงใต้ไปตั้งหลักอยู่ที่นครหางโจว  สถาปนาราชวงศ์ซ่งใต้(หนานซ่งหรือเสียงแต้จิ๋ว "หน่ำซ้อง")  และได้อาศัยฝีมืออันเข้มแข็งของยอดนักรบชื่อ



เย่เฟย(งักฮุย)
ภาพจากเว็บไซต์
  เย่เฟย หรืองักฮุย  เป็นวีรบุรุษของประชาชนจีน  แต่ถูกพวกกังฉินในราชสำนักกราบทูลยุยงให้ฮ่องเต้  ทรงเรียกแม่ทัพใหญ่เย่เฟย หรืองักฮุยให้ถอนทัพกลับทั้งๆ ที่กองทัพจีนจ่อคอหอยอยู่ที่เขตแดนอาณาจักรจิน(กิม) ยกเข้าตีเมื่อไหร่ก็ได้ชัยชนะเมื่อนั้น

                  นอกจากไม่พิชิตอาณาจักรจิน(กิม) แล้ว  แม่ทัพใหญ่เย่เฟย(งักฮุย) ยังถูกกังฉินหลอกให้กลับมาเฝ้าฮ่องเต้ และดักจับตัวไปฆ่าเสียด้วย!

               


จักรพรรดิเจงกิสข่าน
ภาพจาก wikipedia
พลิกหน้าประวัติศาสตร์จีนผ่านไปอีกหลายร้อยปี  ราชวงศ์ซ่งใต้ (หน่ำซ้อง) ล่มสลายลงด้วยอิทธิอำนาจการรบที่เข้มแข็งดุร้ายเหี้ยมโหดของชนชาติมองโกล Genghis Khan เจงกิสข่าน(หรือชื่อตอนเกิด เตมูจิน)ซึ่งยิ่งใหญ่โด่งดังไปทั่วโลกในนามของจักรพรรดิเจงกิสข่านKhagan of the Mongol Empire จอมทัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในยุคนั้น  แต่แม่ทัพที่มาพิชิตอาณาจักรจีน หรือราชวงศ์ซ่งใต้ (หน่ำซ้อง) ได้คือ กุบไลข่าน (Kublai Khan, Khagan of the Mongol Empire) ผู้เป็นหลานของเจงกิสข่าน  พวกมองโกลยึดครองจีน และตั้งเมืองหลวงอยู่ที่ (ปัจจุบัน)คือ กรุงปักกิ่ง  แต่พวกเขาขนานนามว่า นครต้าตู แปลว่า นครหลวงใหญ่





     
                                 











กุบไลข่าน
ภาพจาก wikipedia








กุบไลข่านทรงสถาปนาราชวงศ์หยวนขึ้น (เสียงแต้จิ๋ว ง้วน) และขนานพระนามตามแบบจีนคือ จักรพรรดิหยวนซีจู่ (เสียงแต้จิ๋ว ง้วนสีโจ๊วฮ่องเต้)  สืบกษัตริย์กันมาเกือบร้อยปี  ก็หมดบุญบารมีด้วย "ฮ่องเต้" ทรงด้อยพระสติปัญญา  เชื่อฟังพวก "กังฉิน" เกิดทุจริตและข่มเหงราษฎรจนบ้านเมืองจลาจล ในที่สุด "จูหยวนจาง"(จักรพรรดิหมิงไท่จู) วีรบุรุษชาวนาก็นำกองกำลังชนชาติจีนแท้ (ฮั่นเหริน) โค่นล้มราชวงศ์(มองโกล) หยวนลงไป  สถาปนาราชวงศ์หมิง(เหม็ง) ขึ้นที่กรุงกิมเล้ง(นานกิง) ต่อมารัชกาลที่ ๓ ของราชวงศ์หมิง(เหม็ง) ทรงย้ายเมืองหลวงไปตั้งอยู่ ณ กรุงปักกิ่ง จนสิ้นราชวงศ์ในรัชกาลที่ ๑๖ จักรพรรดิฉงเจิน  ทรงอ่อนแอปล่อยให้ขุนนางกังฉินข่มเหงรังแกประชาชนจนเกิด "กบฏชาวนา" ขึ้นอีก  มีหัวหน้าขบวนการชื่อ "หลี่จื้อเฉิง" ยกกำลังล้อมและตีกรุงปักกิ่งแตก  "ฮ่องเต้" ทรงปลงพระชนม์พระองค์เอง  พวกกบฏเข้ายึดครองกรุงปักกิ่ง



นายทหารเอกของจีนคนหนึ่งชื่ออู๋ซันกุ้ย (เสียงแต้จิ๋ว "โง้วซำกุ่ย")  ซึ่งมีหน้าที่เป็นนายด่านป้องกันการรุกรานของชนชาติอื่นอยู่ ณ ด่านซานไห่กวน ซึ่งเป็นด่านสำคัญอยู่ตรงจุดสุดเขตกำแพงเมืองจีนต่อกับทะเลเกาหลี  อู๋ซันกุ้ย (โง้วซำกุ่ย) นอกจากเป็นข้าศึกกับพวกกบฏชาวนา(หลี่จื้อเฉิง) โดยหน้าที่แล้วยังมีความโกรธแค้นต่อพวกกบฏเป็นอย่างยิ่ง  เพราะประการหนึ่ง  พวกกบฏตัดหัวบิดาของเขา  อีกประการหนึ่ง "หลี่จื้อเฉิง" หัวหน้ากบฏได้ชิงเอาโฉมงาม "เฉินหยวนหยวน" ขวัญใจของขุนพลอู๋ซันกุ้ย (โง้วซำกุ่ย) ไปครอบครอง   อู๋ซันกุ้ยฯ จึงร่วมมือกับกองทัพแมนจู  โดยเปิดด่านให้ยกทัพเข้ามาช่วยปราบกบฏจนสำเร็จ  และคืน "เฉินหยวนหยวน"  สาวงามให้ "อู๋ซันกุ้ย" ไป  แต่กองทัพแมนจูยึดครองกรุงปักกิ่งไม่ยอมกลับถิ่นฐานเดิมนอกกำแพงเมืองจีน  ยิ่งไปกว่านั้น "อู๋ซันกุ้ย" เองที่อาจจะหลงผิดไปในตอนแรกนั้น  กลับเป็น "คนขายชาติ" เต็มตัว  คือ  ร่วมกับกองทัพแมนจูยกไปปราบขุนศึกจีนที่ยังจงรักต่อราชวงศ์หมิง(เหม็ง) และตั้งมั่นอยู่ตามเมืองหรือมณฑลต่างๆ  

แม้ว่าพวกแมนจูจะได้รับความร่วมมือจาก "คน(จีน)ขายชาติ" คือ อู๋ซันกุ้ย และอีกหลายคน  จนยึดครองเมืองจีนได้หมดแล้วสถาปนาราชวงศ์ชิง(เช็ง) ขึ้น  ณ กรุงปักกิ่ง และปกครองจีนอยู่นานถึง ๒๖๘ ปี ก็ตาม  แต่ตลอดช่วงเวลาเกือบๆ ๓ ศตวรรษนี้  ชาวจีนส่วนใหญ่ยังคงคิดที่จะโค่นล้มขับไล่พวกแมนจูให้หมดไปจากจีน  จึงมีคำขวัญต่อเนื่องกันมาว่า "ฟ่านชิง ฟู่หมิง" แปลว่า "โค่นล้มชิง ฟื้นฟูหมิง"

องค์การต่อต้านแมนจูในยุคสมัยต่างๆ เช่น  กบฏสามขุนศึก  สมาคมลับฟ้าดิน (ตี่เทียนฮุ่ย)  พรรคบัวขาว (ไป๋เหลียนเจี้ยว)  สืบเนื่องมาถึงขบวนการไท้ผิงเทียนกวั๋ว (เมืองแมนแดนมหาสันติสุข)  ผู้นำหรือผู้ก่อตั้งขบวนการไท้ผิงเทียนกวั๋ว คือ หงซีกวาน (คนไทยเคยรู้จักในนาม อั่งซิ่วฉวน หัวหน้ากบฏไท้เผง)  หงซีกวาน(หรืออั่งซิ่วฉวน)  เป็นจีนแคะ (จีนกลางเรียก "เคอะเจีย") บิดาเป็นชาวนาอยู่ในท้องถิ่นชาวแคะ (ต่อแดนชาวแต้จิ๋ว)  ในมณฑลกวางตุ้ง  เขาเกิดในปี พ.ศ. ๒๓๗๘ (ค.ศ. ๑๘๑๓) สมองดีมีความรู้เป็นครูสอนหนังสือในหมู่บ้าน  แต่สอบไม่ผ่านบันไดแรกของการเป็น "จอหงวน" หลายครั้ง  จึงเกิดความรู้สึกต่อต้านการเรียนการสอบ (จอหงวน) ตามแบบจีนที่ปรมาจารย์ขงจื๊อได้วางหลักการไว้ใช้ในราชสำนักจีนต่อเนื่องมาหลายพันปี  หงซีกวาน (อั่งซิ่วฉวน) หันไปสนใจศาสนาคริสต์อย่างจริงจัง  แล้วเที่ยวประกาศชักชวนผู้คนมาร่วมกันขับไล่ปีศาจร้ายออกไปจากแผ่นดินจีน  ปีศาจร้ายนั้นคือแมนจู!

ชาวจีนเบื่อหน่ายเกลียดชังราชวงศ์ชิง(เช็ง) เหลือกำลังอยู่แล้ว  จึงพากันมาเข้าร่วมขบวนการไท้ผิงเทียนกวั๋วมากขึ้นๆ  จากจำนวนสิบ เพิ่มเป็นร้อย  เป็นพัน  เป็นหมื่น  เป็นแสน  จนที่สุดสามารถยึดนครนานกิงได้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๙ (ค.ศ. ๑๘๕๖)  เปลี่ยนชื่อนครนานกิง เป็นนครเทียนจิง" แปลว่า นครหลวงแห่งสวรรค์  สถาปนาอาณาจักร "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว (เมืองแมนแดนมหาสันติสุข)" ขึ้น  โดยมี         "หงซีกวาน" (หรืออั่งซิ่วฉวน) เป็นประมุขเรียกว่า "เทียนหวาง หรือฮ่องเต้แห่งสวรรค์"  ช่วงแรกๆ อาณาจักรไท้ผิงเทียนกวั๋ว  ได้รับความสำเร็จมากด้วยประชาชนศรัทธาในฐานะที่เป็นผู้ต่อต้านแมนจู  และฟื้นฟูระบบคุณธรรม (แม้จะมิได้ฟื้นฟูราชวงศ์หมิงก็ตาม)  มีการออกกฏห้ามสูบยาเส้น  ห้ามสูบฝิ่นห้ามทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง  ห้ามข่มขืนผู้หญิง  วางโทษถึงตาย  ผู้ชายให้เลิกไว้ "หางเปีย" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของข้าทาสพวกแมนจู

ราชสำนักชิง(เช็ง) ซึ่งอ่อนแอลงมากแล้วไม่สามารถปราบ "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" ลงได้  แม้ได้สั่งให้กองทัพลงมาสู้รบหลายครั้งก็พ่ายแพ้กลับไป  แต่...ในความสำเร็จนั้นก็เกิดการแตกแยกขึ้นภายใน  เพราะผู้นำสำคัญๆ ของ "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" เสวยสุขจนสำลักเกิดแย่งชิงอำนาจกันถึงขนาดยกกำลังเข้าฆ่าล้างผลาญกันเป็นพันๆ หมื่นๆ ศพ   ด้านศึกภายนอกนั้น  นอกจากกองทหารรัฐบาลชิงหรือแมนจู  ซึ่งเป็นศัตรูสู้รบกันตามหน้าที่ของฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายกบฏ (ไท้ผิงเทียนกวั๋ว) แล้ว  "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" ยังก่อศัตรูคู่สงครามขึ้นอีก ๒ ด้าน คือ  พวกคนจีนด้วยกันเองที่มิได้นับถือศาสนาคริสต์  คือยังคงยึดมั่นในจารีตประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีน  ตามลัทธิคำสอนของปรมาจารย์ขงจื๊อ  แต่..."ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" ซึ่งผู้นำและสมาชิกล้วนแต่นับถือศาสนาคริสต์  นั่นยังไม่เป็นไร  แต่ "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว"  สั่งให้เผาทำลายตำราคำสอนของขงจื๊อ
ปรมาจารย์ขงจื๊อ Confucius of China
ภาพจาก wikipedia


แม้กระทั่งสัญลักษณ์วัตถุสถานใดๆ ที่เนื่องมาจากความเคารพศรัทธาในลัทธิคำสอนของปรมาจารย์ขงจื๊อ (Confucius, the Chinese teacher) ก็ให้เผา หรือทุบทิ้งทำลายหมด   ดังนั้นบรรดาอาจารย์เจ้าสำนักปัญญาชนต่างๆ ตามแบบฉบับ(เก่า)ของขงจื๊อ  จึงรวมตัวกันต่อต้านถึงขนาดจัดตั้ง "กองกำลังอาสาสมัคร" ขึ้นสู้รบกับ "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว"  กองกำลังฯ เหล่านี้เป็นคนจีน     (ฮั่นเหริน) แท้ๆ  แต่ก็ต้องเป็นแนวร่วมกับแมนจูไปโดยปริยาย

"ไท้ผิงเทียนกวั๋ว"  ยังก่อข้าศึกสำคัญขึ้นอีกด้านหนึ่ง  เพราะการยกกองทัพเข้าบุกนครเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าของประเทศ  โดยมีเขตเช่าของชาติมหาอำนาจตะวันตก  โดยเฉพาะอังกฤษ ฝรั่งเศส  สหรัฐอเมริกา ฯลฯ  มาตั้งอยู่  ผู้คนในสังคมระดับนำของนครเซี่ยงไฮ้  ซึ่งเป็นชาวต่างชาติและพ่อค้านักธุรกิจระดับเศรษฐี  จึง "ลงขัน" ให้ไปจัดซื้ออาวุธปืนทันสมัยและจ้างกองกำลังมาต่อสู้ป้องนครเซี่ยงไฮ้   กองทหารรับจ้างซึ่งมีทั้งฝรั่ง  ชาวต่างชาติและชาวจีนได้อาวุธปืนเล็กยาวและปืนใหญ่เป็นอาวุธสำคัญ  จึงผลักดันกองทัพ "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" ให้พ่ายแพ้และถอยร่นกลับไปยังนครเทียนจิง     (นานกิง) โดยมีกองทัพจาก ๓ ฝ่าย คือ ทัพรัฐบาลแมนจู  ทัพอาสาสมัครปัญญาชนจีน  และทัพผสมฝรั่งต่างชาติ รุกตามมาล้อมนครเทียนจิงอย่างแน่นหนา  จนกองกำลังไท้ผิงเทียนกวั๋ว  สู้ตายไม่ยอมแพ้แม้แต่คนเดียว  แม้แต่เมื่อประชุมคือหงซีกวานจะป่วยและตายลง  แต่...สมาชิกขบวนการไท้ผิงเทียนกวั๋วยังสู้ต่อไป

ในที่สุดฝ่ายรัฐบาล  และพันธมิตรก็ยึดนครเทียนจิง  กลับมาเป็นนครนานกิง  หลังจากที่ขบวนการ "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" ยึดครองไปเป็นเมืองแมนแดนมหาสันติสุข ประมาณ ๘ ปี  รัฐบาลจีนสมัยจอมพลเจียงไคเช็ก เรียกพวกต่อต้านแมนจูในกรณีนี้ว่า "กบฏ" แต่รัฐบาลจีนปัจจุบัน  กลับยกย่องว่า "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" เป็นขบวนการต่อสู้ของชาวนาผู้รักชาติ!

☼☼☼☼☼☼☼☼