ต่อมาเมื่อผมสนิทคุ้นเคยกับท่านมากขึ้น ทุกเช้าผมจะไปรอพบท่านที่คลินิกย่านสยามสแควร์ ท่านจะไปให้หมอหรือพยาบาลตรวจและฉีดอินซูลินให้ ท่านจะเดินงอพับแขนข้างที่ถูกฉีดยาเพื่อหนีบสำลีซับเลือด ผมจึงช่วยถือของโดยมากก็พวกหนังสือและหนังสือพิมพ์อันเป็นอาชีพที่ท่านทำมาตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี ขณะนั้นท่านอาจารย์ประจำการอยู่ที่หนังสือพิมพ์ ชาวไทย สี่แยกแม้นศรี
เช้าวันหนึ่ง เมื่อท่านอาจารย์เสร็จธุระจากคลินิกเดินสวนทางกับชายหญิงวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานคู่หนึ่ง คาดว่าเป็นสามีภรรยา ทั้งสองคนนี้พอเห็นก็ยกมือไหว้อย่างนอบน้อมบอกว่าเคยติดตามอ่านบทความและตามชมรายการภาษาหนังสือที่ท่านอาจารย์ไปเป็นวิทยากรเนืองๆ ที่สุดก็สอบถามว่าท่านอาจารย์ป่วยเป็นอะไร จึงได้มาหาหมอ? พอรู้ว่าท่านอาจารย์ป่วยด้วยโรคเบาหวานก็บอกว่า
"อาจารย์จะเชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ แต่คุณแม่ของเราซึ่งป่วยเป็นเบาหวานเหมือนอาจารย์นี่แหละ ท่านได้ตำรามาจากไหนก็ไม่ทราบ คือ ให้คนที่ป่วยกินมะแว้ง
Solanum (ผลมะแว้ง) |
ลูกมะแว้งเครือ (ภาพจาก www.medthai.com) |
ท่านอาจารย์สถิตย์เริ่มเตรียมการกินมะแว้งทันทีที่ลงจากรถเมล์ตรงข้ามตลาดแม้นศรีเริ่มเตรียมการกินมะแว้งทันทีที่ลงจากรถเมล์ตรงข้ามตลาดแม้นศรี ก็เดินเข้าไปถามหาซื้อมะแว้งที่แม่ค้าขายผักหลายราย ไม่มีใครเอามะแว้งมาขายสักรายเดียว แต่แม่ค้ารายหนึ่งเมื่อทราบว่าท่านอาจารย์จะซื้อมะแว้งเป็นประจำ จึงรับอาสาว่าจะสั่งชาวสวนหามะแว้งมาขายให้ทุกวันๆ ละ ๑ พวง เฉพาะวันเสาร์ ๒ พวง เพราะท่านอาจารย์ต้องตุนไว้กินในวันอาทิตย์ อีก ๒ - ๓ วันต่อมา ท่านอาจารย์ก็เริ่มกินมะแว้ง โดยนำไปล้างให้สะอาดแล้วเด็ดผลมะแว้งใส่ถ้วยไว้บนมุมโต๊ะ คอยหยิบใส่ปากกินทีละ ๓ - ๔ เม็ด จนกว่าจะหมดก็ราว ๒๐ - ๓๐ เม็ด
หนึ่งเดือนผ่านไป ท่านอาจารย์บอกผมว่าต่อไปจะไม่พบกันที่คลินิกอีกเพราะท่านหายจากโรคเบาหวานแล้ว ยาจากคลินิกที่เคยกินวันละ ๓ เวลาก็เลิกกิน แต่ท่านอาจารย์คงกินมะแว้งต่อไปอีกเดือนเศษ ที่สุดก็แน่ใจว่าหายขาดจากโรคเบาหวานจริงๆ นอกจากไม่ต้องกินยาอีกแล้วสายตาก็กลับมาดีขึ้นจนเลิกสวมแว่นสายตาอีกด้วย ท่านอาจารย์เคยปรารภว่าป่วยด้วยโรคเบาหวานมา ๒๒ ปี เสียเงินรักษาไปมากมายพอที่จะนำไปซื้อบ้านและที่ดินได้แห่งหนึ่ง กับซื้อรถเก๋งขนาดกลางได้อีกคัน แต่กลับหายป่วยด้วยการกินมะแว้ง ที่ใช้เงินซื้อไม่ถึง ๕๐๐ บาท เมื่อหายสนิทจริงแล้ว ท่านอาจารย์ได้ถวายสังฆทานด้วยกล้วยน้ำว้า ๑ หวี กับน้ำสะอาด ๑ ขวด อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้คิดค้นพบตำรายานี้
ปลายปี ๒๕๒๖ ผมย้ายเข้ามารับราชการในกรุงเทพฯ ครอบครัวของเราเช่าบ้านอยู่ย่านเชิงสะพานสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ด้านฝั่งธนบุรี เหตุผลที่เราอยู่ย่านนั้นเพราะใกล้ที่ทำงานและที่เล่าเรียนของลูกๆ อีกประการหนึ่ง คุณยุวดีน้องสะใภ้ของผมรับอาสาทำอาหารส่งปิ่นโตให้ เธอทำกับข้าวอร่อยรับรองคุณภาพได้ เพราะคนในครอบครัวของเธออ้วนท้วนเกือบทุกคน เว้นแต่ลูกสาวคนเดียว ความอ้วนท้วนของคนไม่ใช่เครื่องรับรองสุขภาพ จึงไม่แปลกที่น้องสะใภ้ของผมจะมีโรคที่น่ากลัวอยู่หลายประเภท เช่น ความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน
ผมจึงแนะนำเธอให้ลองกินมะแว้งแก้เบาหวาน ตามวิธีที่ท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล เคยกินได้ผลมาก่อน เธอก็หาซื้อมะแว้งจากตลาดวงเวียนใหญ่มากินตามที่ผมแนะนำ ไม่กี่สัปดาห์ เธอไปหาหมอประจำที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง และขอให้เจาะเลือดตรวจหาน้ำตาลในเลือด ครั้นผมการตรวจออกมาปรากฏว่า อัตราน้ำตาลลดลงมากจากที่เคยสูง ๓๐๐ เศษ เหลือไม่ถึง ๒๐๐ เธอกินมะแว้งเรื่อยมาจนอัตราน้ำตาลอยู่ระดับ ๑๐๐ เศษๆ ทุกวันนี้เธอไม่ต้องกินยา หรือไปหาหมอรักษาโรคเบาหวานแล้ว เพียงแต่นานๆ ครั้ง สักเดือนครึ่งเดือนก็ซื้อมะแว้งที่ทั้งขม ทั้งเฝื่อนกินได้ง่ายๆ เธอบอกว่าตอนเคี้ยวอาจขมและเฝื่อนจริง แต่เมื่อกลืนผ่นลำคอลงไปแล้ว ทำให้คอโล่งหวานลื่น แก้ไอแก้เจ็บคอดีมากๆ ส่วนความดันโลหิตสูงนั้น เมื่อเธอไปเข้าฝึก "รำมวยจีน" แล้วไม่กี่เดือนน้ำหนักลดลงราว ๒๐ กิโลกรัม ความดันโลหิตลดลงมากจนไม่เกิดอาการปวดหัวบ่อยๆ อย่างก่อนๆ แล้วครับ
ช่วงปี ๒๕๔๐ - ๒๕๔๒ ผมรับราชการที่กรมทะเบียนการค้า คุณ(พี่)มานิต จิตตะสิริ เพื่อนข้าราชการอาวุโสอายุ ๗๐ เศษ ซึ่งรู้จักชอบพอกับผมมานานปี มักแวะมาเยี่ยมเยียนเนืองๆ เดือนละ ๑-๒ หน ผมทราบดีว่าคุณ(พี่)มานิตเคยเป็นครูฝึกและหัวหน้าค่ายมวย "เกียรติเมืองยม" ที่โด่งดังเมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อน มีลูกศิษย์เป็นยอดมวยชื่อดังฝีมือดี เช่น สมเกียรติและรักเกียรติ เกียรติเมืองยม เป็นต้น ถึงจะอายุมากและเลิกค่ายมวยไปนับสิบปี แต่รูปร่างของคุณ(พี่)มานิตยังดูแข็งแรงเหมือนตอนหนุ่มๆ แต่พอผมปรารภเป็นเชิงถามว่า
"พี่แข็งแรงอย่างนี้ ไม่มีโรคอะไรเลยใช่ไหม?"
"นอกจากเบาหวานแล้ว โรคอื่นไม่มี"
ผมจึงแนะนำให้คุณ(พี่)มานิตลองกินมะแว้งแก้โรคเบาหวานตามวิธีที่ท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล เคยกินจนโรคนี้หายเด็ดขาดมาแล้ว คุณ(พี่)มานิตหายหน้าไปหลายเดือน จนวันหนึ่งคุณวิภาดาภรรยาซึ่งยังรับราชการแต่อยู่ในส่วนภูมิภาค แวะมาราชการที่กรม และผมพบเธอจึงถามหาคุณ(พี่)มานิตสามีของเธอว่า หายหน้าไปไหน? เธอหัวเราะแล้วตอบว่า "พี่มานิตกินมะแว้งไม่ได้ คายทิ้งหมด บอกว่าขมเหลือเกิน จึงอายท่านรองฯ ไม่กล้ามาหา กลัวถูกถาม"
ผมทั้งขำทั้งนึกนิยมคุณธรรมน้ำใจลูกผู้ชายของคุณ(พี่)มานิต จึงบอกฝากภรรยาไปว่า ถ้ากินขมไม่ได้ก็อย่าเคี้ยว ให้ใช้วิธีกลืนกินแบบกินยาลูกกลอนครั้งละ ๓-๔ เม็ด เอาน้ำกรอกกลั้วคอให้กลืนสะดวกๆ ดีกว่า เกือบสองเดือนต่อมา คุณ(พี่)มานิตยิ้มเผล่มาหาผมในเช้าวันหนึ่ง บอกว่าหมอที่เคยตรวจรักษาโรคเบาหวานยืนยันว่า คุณ(พี่)มานิตหายจากโรคเบาหวานแล้วจึงมาขอบคุณผม ผมบอกให้ไปทำสังฆทานกล้วยน้ำว้า ๑ หวีกับน้ำดื่ม ๑ ขวด เช่นเคยครับ
เมื่อหลายปีมาแล้ว ผมได้รับเชิญให้ไปจุดไฟฌาปนกิจศพบิดาของผู้ร่วมงานที่เมรุวัดเสมียนนารี เมื่อเสร็จภารกิจ ผมรู้สึกหิวและเห็นว่าการจราจรกำลังติดขัด จึงชวนพรรคพวกแวะร้านขายก๋วยเตี๋ยวแถวข้างวัด ขณะเราอยู่ในร้าน ผมปรารภว่าถ้าผมรู้ว่าผู้ตายป่วยด้วยโรคเบาหวานละก็คงจะแนะนำให้ลองกินมะแว้งแก้โรคเบาหวาน แล้วผมก็อธิบายวิธีกินให้ฟัง มีคนสนใจเพราะญาติใกล้ชิดของเขากำลังป่วยด้วยโรคนี้ ผมจึงควักคำแนะนำการกินมะแว้งที่จัดพิมพ์ไว้มาให้ คนขายก๋วยเตี๋ยวขอยืมไปถ่ายเอกสารไว้ด้วย ต้นปี ๒๕๔๔ ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณป้าท่านหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักตัว ท่านแนะนำตนเองว่าชื่อ "ป้าบุญมา" บ้านอยู่แถวพระโขนง-อ่อนนุช มีลูกสาวเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คุณป้าเล่าว่าได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเสมียนนารี และได้รับคำแนะนำการกินมะแว้งแก้โรคเบาหวานจากเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยว คุณป้าจึงซื้อมะแว้งมา ๑ กิโลกรัม แต่มีปัญหาจึงโทรศัพท์มาปรึกษา ปัญหาของคุณป้าก็คือเคี้ยวกินมะแว้งไม่ได้ เพราะเหลือแต่ฟันหน้า ฟันเคี้ยวฟันกรามอำลาไปหลายปีแล้ว ผมแนะนำให้กลืนสดๆ แบบคุณ(พี่)มานิต
คุณป้าบุญมาร้อง อ้อๆ แต่อีก ๓ วันต่อมา คุณป้าโทรศัพท์มาหาผมแต่เช้า ปรับทุกข์ว่าป้ากลืนกินมะแว้งสดๆ แล้วแต่มันก็ถ่ายออกมาเกือบสดๆ เป็นเม็ดๆ หมดเลย ผมจึงแนะนำให้ม่ให้ใช้วิธีนึ่งมะแว้งพอสุกแล้วค่อยกิน อีกครึ่งเดือน คุณป้าบุญมาก็แจ้งข่าวดีว่าอัตราน้ำตาลในเลือดของคุณป้าได้ลดลงจาก ๓๐๐ เศษเหลือไม่ถึง ๒๐๐ แล้ว ผมก็แสดงความยินดีและแนะนำว่า เมื่อมาถูกทางแล้วก็ให้กินต่อไปจนกว่าจะหายครับ ผ่านไปอีกเดือนเศษ คุณป้าบุญมาโทรศัพท์มาด้วยเสียงอ่อยๆ ปรับทุกข์ว่าน้ำตาลในเลือดของป้าลงมาเหลือร้อยหนึ่งแล้วนะ ทำไมวันนี้มันกลับขึ้นไป ๓๐๐ ล่ะ? โธ่! ผมจะไปรู้เหรอะ
แต่ผมไม่ได้พูดอย่างที่นึกในใจนี่หรอกนะ การทำงานสังคมสงเคราะห์ต้องใจเย็นๆ ซีครับ ผมจึงตอบว่า "คุณป้า ผมไม่ใช่หมอนะครับ คุณป้าไปหาหมอให้ท่านตรวจหาสาเหตุดีกว่า คุณป้ากินอะไรผิดสำแดงรึเปล่าล่ะครับ?"
คุณป้านึกสักพักก็รำพึงดังๆ ว่า "ป้ากินข้าวหลามจิ้มนมข้นไป"
ผลมะแว้ง (ภาพจาก www.medthai.com) |
ผมจึงฝากข้อพึงคิดคำนึงว่า มะแว้งไม่ใช่ยาเทวดา ดังนั้นเมื่อกินมะแว้งจนน้ำตาลในเลือดลดลงอยู่ในอัตราปกติที่ถือว่าหายป่วยจากโรคเบาหวานแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะกลายมาเป็น "ผู้วิเศษ" ที่จะกินของแสลงโรคใดๆ อะไรอีกก็ได้ ยิ่งคนที่มีประวัติการเจ็บป่วยเรื้อรังมาก่อน เปรียบเสมือนวัตถุที่เคยแตกร้าว เราปะติดกลับมาใช้ จะให้มีสภาพแข็งแกร่งเหมือนของที่ไม่เคยแตกร้าวย่อมไม่ได้
เมื่อ ๔ - ๕ ปีก่อน ผมเคยเล่าเรื่องการกินมะแว้งรักษาโรคเบาหวานหายตามที่คุณ(พี่)มานิต จิตตะสิริ กินได้ผลนั้นให้เพื่อนพ่อค้าที่ย่านเซียงกง ถนนบรรทัดทองฟัง แต่ไม่ใคร่มีใครสนใจ มิหนำซ้ำยังมีผู้ไปซื้อมะเขือพวงจากตลาดสดมากิน เพราะผู้ซื้อและผู้ขายต่างไม่รู้จักมะแว้ง
แต่เมื่อต้นปี ๒๕๔๔ คุณนพดล (เอี่ยม) เจริญพจน์วัจนะ เสี่ยทายาท "เต็กเฮงล้ง" โทรศัพท์ถึงผมว่า "คุณเตี่ย" ของเขามีอาการเบาหวานกำเริบถึงขนาดเมื่อออกไปกลางแดดแล้วกลับเข้ามาในร้านจะมีอาการตามืดมองไม่เห็นอะไรอยู่พักใหญ่ จึงอยากจะลองกินมะแว้งตามที่ผมเคยแนะนำเมื่อหลายปีก่อนนั้น ผมคบหาเสี่ยเอี่ยมมาหลายปี จึงรีบไปหาซื้อมะแว้งที่ตลาด อ.ต.ก. ซึ่งมีคุณป้าคนหนึ่งอยู่ที่จังหวัดนครปฐมนำมาขายเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซื้อทีละ ๕-๖ กิโลกรัม ได้มะแว้งมามากพอสำหรับคนป่วยเบาหวาน ๖ - ๗ คนกินได้ ๑ สัปดาห์ ดังนั้นนอกจากผมจะนำไปให้เสี่ยเอี่ยม ๑ กิโลกรัมแล้ว ที่เหลือผมจึงมอบให้ เสี่ยเม้ง คุณอัครพงศ์ อัครเกษมพร กรรมการศาลเจ้าแม่ทับทิม สะพานเหลือง ปทุมวัน นำไปแจกจ่ายเพื่อนพ่อค้าในย่านนั้นซึ่งป่วยเป็นโรคเบาหวานอีก ๖ - ๗ คนด้วย
ผมจัดหาและส่งมะแว้งให้ไปเดือนเศษ ได้รับแจ้งข่าวดีว่า แต่ละคนได้ผลดีมีอัตราน้ำตาลในเลือดลดลงตามลำดับ บางคนเคยมีอัตราน้ำตาลสูงถึง ๓๔๖ หลังกินมะแว้ง ๒ สัปดาห์ อัตราน้ำตาลลดลงเหลือราว ๒๐๐ กว่านิดหน่อย กินมะแว้งครบเดือน อัตราน้ำตาลเหลือต่ำกว่า ๒๐๐ ผมส่งมะแว้งให้ทุกสัปดาห์ราว ๒ เดือน ถ้าผู้ป่วยกินมะแว้งตามปริมาณกำหนดติดต่อทุกวันก็ควรหายป่วยได้เช่นเดียวกับท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล ผมมีภารกิจสำคัญต้องไปอเมริการ่วมเดือน กลับมามีงานรออยู่มากมาย ไม่ได้ใส่ใจถามเรื่องนี้
วันหนึ่ง เมื่อผมถามเสี่ยเม้ง เขากลับบอกผมว่า "ท่านรองฯ ช่วยเขียนเรื่องยาจำพวกนี้ให้ด้วย ผมจะหาคนใจบุญช่วยจัดพิมพ์เผยแพร่ จะได้ช่วยเหลือคนให้หายเจ็บป่วยด้วยเงินทองไม่กี่บาท" นี่ไงครับ ที่ผมกำลังปั่นต้นฉบับอยู่นี่แหละครับ ประสบการณ์ตรงจากชีวิตของผมจริงๆ
หมายเหตุ ช่วงที่ท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล กินมะแว้งรักษาโรค "เบาหวาน" อยู่นั้น ผมสังเกตเห็นว่าท่านอาจารย์กินอาหารเปลี่ยนสูตรไปบ้าง กล่าวคือ ปกติท่านจะกินข้าวสวยมื้อละประมาณจานครึ่ง อาจถึง ๒ จานเมื่อมีกับข้าวถูกใจ ช่วงนี้ท่านสั่งผมตักข้าวเพียงครึ่งจานแม้มีกับที่ท่านโปรดปรานก็เพิ่มเป็นข้าวค่อนจานไม่เติมอีก อาจารย์สถิตย์กินกับข้าวเปลืองขึ้น บางทีถึงกับกินไก่ตอนสับเปล่าๆ จิ้มเต้าเจี้ยวที่ร้านข้าวมันไก่ สลัดผักก็ชอบเป็นพิเศษ ผลไม้ที่กินประจำคือ กล้วยน้ำว้า
ผมเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อสิ้นบุญอาจารย์แล้วว่า การกินข้าวลดปริมาณลง เท่ากับลดแป้งในอาหาร แป้งที่จะแปรเป็นน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายก็ลดลงด้วย ดังนั้นท่านอาจารย์สถิตย์ เสมานิล จึงหายจากโรคเบาหวานได้รวดเร็วและเด็ดขาด ทั้งกิน "มะแว้ง" ทุกวันติดต่อกัน ๒ เดือนเศษ ช่วงแรกๆ ยังกินยาหมออยู่ก่อน
อ่านบทความเกี่ยวกับ "มะแว้ง และสรรพคุณทางยาของมะแว้ง" เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ MedThai : https://medthai.com/มะแว้งเครือ
ภาพผลมะแว้งเครือ และลูกมะแว้งเครือที่ปรากฏบน post นี้นำมาจากเว็บไซต์ www.medthai.com