ผมมีโอกาสคลุกคลีกับยาสมุนไพรหรือยาพื้นเมือง หรือยาแผนโบราณแล้วแต่ใครจะเรียกอย่างไร บางครั้งผมก็ช่วยลุงป้าไปเดินเก็บสมุนไพรที่ปลูกไว้ในสวนหลังบ้านและริมรั้วรอบๆ บ้าน บางคราวผมก็ช่วยลุงป้าโขลกตำยา และบางทีผมก็ช่วยลุงจัดยา แต่กลับเป็นภาระให้ลุงต้องย้อนกลับรื้อแต่ละถุงมาจัดบรรจุใหม่ให้ถูกต้อง ลุงรักผมมากจึงใจดีมีแต่หัวเราะหึๆ ขำที่เห็นผมเล่นสลับตัวยาถุงนั้นกับถุงโน้นวุ่นวายไว้ แต่ลุงยอดเยี่ยมมาก เทออกมากองทุกถุงที่ผมนำไป(จัด)เบ่น และลุงจัดใหม่ไม่นานก็เรียบร้อยเข้าที่หมด ผมเห็นลุงเปิดดูตำรายาที่เขียนด้วยอักขระโบราณในเวลาที่จัดยาลงแต่ละถุง ผมเคยพลิกดูตำราเหล่านี้แต่อ่านไม่ออกเลย ไม่เหมือนตัวหนังสือที่ผมเรียนในห้องเรียนสักหน่อย ผมอยากรู้ว่าตำราเขียนอ่านอย่างไรบ้าง ลุงก็อ่านให้ฟังเป็นตัวอย่าง ผมจำตำรายาได้ ๒-๓ อย่างที่จำได้เพราะมีส่วนของผักตำลึงเป็นองค์ประกอบด้วย ทำให้ผมเข้าใจว่าเหตุใดเถาตำลึงจึงพาดรั้วรอบบ้านของลุงเพราะเถาตำลึงนี่แหละเป็นวัตถุดิบสำคัญที่สุดในการผลิต "ยาขาง" แก้ไข้ร้อนใน
"ยาขาง" ที่กล่าวถึงนี้เป็นยาเม็ดลูกกลอนปั้นเป็นเม็ดเล็กๆ เท่าปลายนิ้วก้อย กรรมวิธีการผลิตง่ายมากๆ คือ หาเถาตำลึงมาแล้วหั่นเป็นแว่นๆ บางๆ นำใส่ถาดหรือกระด้ง ตากแดดจนแห้งสนิทแล้วนำมาตำในครกหินใบใหญ่ ตำจนยุ่ยเป็นผงละเอียดเหมือนแป้ง พวกกากหรือเศษเส้นใยถูกร่อนตะแกรงทิ้งไปจนหมด ต้มน้ำเล็กน้อยจนเดือดแล้วยกลงวางไว้ นำ "ขาง" คือแผ่นเหล็กหล่อเผาไฟจนร้อนแดงแล้วคีบใส่ลงในหม้อต้มน้ำ เสียงดัง "ฉ่า" ค่อยรินน้ำเหยาะลงในผงเถาตำลึงพอเปียกๆ ผสมแป้งข้าวเจ้าลงไป แล้วคนๆ ให้เข้ากันจนมีลักษณะหมาดๆ ถ้าแห้งไปก็เติมน้ำ ถ้าแฉะไปก็เติมผลเถาตำลึงกับแป้งข้าวเจ้า เมื่อส่วนผสมได้ที่ ป้าก็จะปั้นเป็นยาลูกกลอนเม็ดเล็กๆ ขนาดปลายนิ้วก้อยใส่ถาดและกระด้งนำไปตากแดด แดดจัดๆ วันเดียวก้แห้งได้ที่ แล้วเก็บใส่ขวดโหล
เด็กๆ ชาวล้านนาเมื่อหลายสิบปีก่อนล้วนรู้จักรสชาติของ "ยาขาง" กันทั่วหน้า เว้นแต่เด็กลูกจีนอาจจะใช้ "ยาขม" เด็กๆ ภาคกลางก็ซด "ยาเขียว" แทนเพราะยาทั้งสามชนิดนี้เป็น "ยา ครอบจักรวาล"
ปกติอาหารมื้อเช้าของลุงและป้าจะมีผักนึ่งจิ้มน้ำพริกเป็นหลักผักตำลึงนึ่งยอ่มยืนพื้น พอมีผมมาพักอยู่ด้วย ยอดตำลึงก็ถูกแบ่งมาเป็น "ต้มจืดยอดตำลึงหมูสับ" บ้าง บางมื้อก็ยอดตำลึงคั่วไข่ ที่ต้องคั่วเพราะบ้านลุงป้าไม่ใช้น้ำมันปรุงอาหารใดๆ ทั้งสิ้น ครั้งหนึ่ง ผมไปเก็บผลตำลึงชนิดต่างๆ คือทั้งผลสุกสีแดงสดสวย ผลแก่สีเขียวอื๋อ และผลอ่อนสีเขียวอ่อนไปให้เพื่อนผู้หญิงข้างบ้านนำไปเล่นขายข้าวขายแกง ลุงเห็นเข้าจึงบอกผมว่า คราวต่อไปให้เลือกเก็บเฉพาะผลสุกๆ ไป ส่วนผลแก่และผลอ่อนๆ อย่าเพิ่งเอาไปเล่น ผมจึงถามว่าเพราะอะไรจึงไม่ให้เก็บไปเล่น?
ลุงตอบว่า "ผลตำลึงแก่ๆ ใช้แก้โรคนิ่วในกะเพราะเยี่ยวได้น่ะซีลูก! ครั้นตอนบ่ายๆ เราอยู่บนเรือน ผมก็ถามลุงอีกว่าผลตำลึงแก่ใช้รักษาโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะที่ลุงบอกนั้นมีในตำราหรือเปล่า...? ลุงจึงหยิบตำรามาอ่านให้ผมฟัง
ผลตำลึง |
ยาส้ม |
"ให้ใช้ผลตำลึงแก่ๆ ๕-๗ ผล กรีดผลตำลึงทั้งหมดลึกลงไปครึ่งผลแต่ไม่แยกออกจากกัน
ตำสารส้มเป็นผง โรยลงในร่องที่กรีดไว้ในผลตำลึงทั้งหมด จนผงเต็มร่องแล้ว ใช้ด้ายพันรอบผลตำลึง แต่ไม่จำเป็นต้องพันชิดกันนัก
นำผลตำลึงทั้งหมดไปย่างไฟอ่อนๆ (อาจใช้ไมโครเวฟแทน) โดยหงายร่องขึ้น คอยดูผงสารส้มละลายจนหมดแล้วยกตะแกรงย่างออกจากไฟ รอสักพักให้คลายร้อนลงเหลืออุ่นจัดๆ แล้วใช้ผ้าขาวบางห่อผลตำลึงทั้งหมด คั้นเอาน้ำออกมา (จะได้สักถ้วยชาจีน)
ให้คนเป็นโรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะดื่มรวดเดียว (ขมนิดๆ)
วันหนึ่ง ทำกิน ๓ หน ภายใน ๒ วัน ถ้าเม็ดนิ่วอยู่ในกระเพาะปัสสาวะจริง และเม็ดใหญ่ไม่เกินหัวแม่มือของผู้ป่วย จะต้องมีเม็ดนิ่วหลุดออกมาทางท่อปัสสาวะ"
สมัยก่อน ๒๔๙๐ การรักษาโรคนิ่วโดยวิธีผ่าตัดยังไม่ใช่เรื่องที่โรงพยาบาลในต่างจังหวัดจะทำได้ง่ายๆ นอกจากเครื่องมือและเวชภัณฑ์ไม่เพียงพอ บางจังหวัดหมอไม่ชำนาญการผ่าตัด โดยเฉพาะคนไข้หรือญาติคนไข้กลัวการผ่าตัดเพราะหวาดเสียว นึกเห็นภาพของหมูถูกชำแหละบนเขียงยังไงยังงั้นกระมัง ความจริง (นายแพทย์) หมอศรีรัตน์ บุญเฉลียว ผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำปางคนแรกในยุคนั้นเป็น "ศัลยแพทย์" ที่เก่งมากจากวิทยาลัยแพทย์ศิริราช แต่ถ้าคนไข้ไม่ยอมมาให้ผ่าตัดซะแล้ว หมอจะเก่งปานใดก็ได้แต่เก็บเครื่องมือ และฝีมือเอาไว้เอง
ช่วงปี ๒๕๐๒ - ๒๕๐๕ ผมทำงานเป็นครูสอนหนังสือที่โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง มีบราเดอร์หรือภารดา ๔ รูป เป็นชาวสเปน ๒ รูป ไทย ๒ รูป บราเดอร์ชาวสเปนรูปหนึ่งเป็นอธิการบดี อีกรูปหนึ่งทำหน้าที่เหรัญญิก ผมและครู (มาสเตอร์) จะรับเงินเดือนเดือนละ ๒ หน ผมกับเพื่อนสนิทชื่อคุณวิศิษฐ์ สมพงษ์ มักจะรับเงินหลังสุดเพราะเรายังเป็นโสดไม่รีบกลับบ้าน และยังช่วยเป็นครูฝึกทีมกีฬาให้นักเรียนในช่วงหลังเลิกเรียนด้วย คุณวิศิษฐ์ดูแลทีมตะกร้อ ผมดูแลทีมวอลเลย์บอล เย็นวันเสาร์หนึ่ง ภารโรงปั่นจักรยานมาตามตัวเราให้รีบไปรับเงินเดือน ผมนึกแปลกใจว่าปกติผมจะไปรับตอนใกล้จะ ๖ โมงเย็น เมื่อซ้อมกีฬาเสร็จแล้ว แต่นี่ยังไม่ถึง ๕ โมงเย็น ผมซ้อนท้ายจักรยานที่ภารโรงปั่นพลางตอบข้อสงสัยที่ผมถามพลางว่า "บราเดอร์ (IIdefonso) ไม่สบาย จะรีบไปหาหมอ"
พอผมโผล่เข้าไปให้ห้องทำงานของบราเดอร์ ก็เห็นเจ้าของห้องซึ่งปกติก็หน้าแดงๆ อยู่แล้ว วันนั้นหน้ายิ่งแดงก่ำใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่คลุมไหล่นั่งตัวสั่นครางฮือๆ อยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ ผมลงชื่อในบัญชีจ่ายเงินพร้อมทั้งเรียนถามว่าบราเดอร์ป่วยเป็นอะไร?
"บราเดอร์ป่วยเป็นนิ่วกำลังปวดและมีไข้ จะรีบไปหาหมออีกครั้ง หมอบอกว่าจะจัดยาให้อีกชุด ถ้าไม่หายละก็วันจันทร์ต้องผ่าตัด...!"
บราเดอร์รูปร่างอ้วยใหญ่ปกติเสียงดัง แต่วันนั้นเสียงอ่อยๆ สลับเสียงครางน่าสงสาร ผมจึงเรียนปรารภเชิงถามด้วยความเกรงใจว่า
"ถ้าผ่าตัดก็คงหายป่วยนะครับ แต่บราเดอร์อยากผ่าตัดไหมล่ะครับ!?"
บราเดอร์เบิกตาโต ยักไหล่ร้องว่า "ถ้ามีทางเลือก ใครก็ไม่อยากถูกผ่าตัด!"
ผมจึงเรียนเสนอว่า "บราเดอร์จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่นะครับ ลุงของผมเป็นหมอเมืองแบบโบราณ มีตำรายาง่ายๆ รักษาโรคนิ่วได้"
บราเดอร์หยุดครางชั่วขณะ พยักหน้า บอกให้ผมรีบแจงตำรายา พอผมบอกไป บราเดอร์ปรารภว่า "ไม่มีอะไรน่ากลัว ผลตำลึงกับสารส้มกินได้ทั้งนั้น ประเดี๋ยวมาสเตอร์ช่วยบอกภารโรงให้เข้าใจวิธีทำด้วยนะ บราเดอร์จะรีบไปหาหมอ"
พอผมออกจากห้อง ก็เจอภารโรงที่พาคุณวิศิษฐ์มารับเงินเป็นคนสุดท้าย ผมจึงอธิบายวิธีประกอบหรุงยาแก้โรคนิ่วให้ภารโรงจนเป็นที่เข้าใจชัด และบอกว่าให้ทำกินวันละ ๓ เวลาหลังอาหาร ออกจากโรงเรียน ผมแวะไปบ้านลุงและป้าซึ่งเวลานั้นท่านล่วงลับไปแล้ว พี่สาวของผมซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมเข้าอยู่แทน ผมขอยืมตำรายาเรื่องนี้ไปขอให้หลวงพ่อที่วัดปงสนุกด้านเหนืออ่านให้ผมฟัง เพื่อตรวจสอบทบทวนความจำ อ้อ ... ถูกต้อง
เช้าวันจันทร์ พอผมไปถึงโรงเรียนก็เจอภารโรงคนเดิมยิ้มรออยู่ที่ห้องธุรการซึ่งผมต้องไปลงชื่อในสมุดมาทำงาน บอกว่าบราเดอร์หายป่วยแล้ว นึกแล้วเชียวตั้งแต่เห็นหน้าภารโรงยิ้มเผล่แล้ว บอกให้ผมรีบไปพบบราเดอร์ พอผมเปิดประตูเข้าห้องบราเดอร์ ท่านก็ลุกขึ้นยื่นมือมาให้ผมจับ กล่าวเสียงดังสดใส "ขอบใจมาสเตอร์มากๆ วิเศษจริงๆ นี่ไง เม็ดนิ่ว!"
บราเดอร์เอี้ยวตัวไปด้านหลัง หยิบขวดกลมป้อมๆ ที่นิยมใช้ในห้องทดลองวิทยาศาสตร์มาตั้งบนโต๊ะให้ดู ในขวดมีน้ำยาแบบใช้ดองซากสัตว์อยู่เกือบเต็ม แต่ที่ก้นขวดนั้นมีก้อนหินผิวเรียบเกลี้ยงเกลารูปทรงยาวรีอยู่ ๒ เม็ด ขนาดปลายนิ้วก้อยกับขนาดปลายนิ้วโป้ง (ของผม) บราเดอร์เล่าว่า ตอนที่ผมบอกตำรายาให้นั้นก็ไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อค่ำวันเสาร์พอกลับจากคลินิก ภารโรงเอาน้ำคั้นจากผลตำลึงมาให้ดื่ม พอรุ่งเช้าตื่นมา รู้สึกปัสสาวะสะดวกขึ้น คิดว่าคงเพราะผลจากยาที่หมอจัดให้ แต่ก็ยังดื่มน้ำผลตำลึงอีก ๒ ครั้ง ตอนเย็นวันอาทิตย์รู้สึกปวดปัสสาวะแต่ก็ยังดื่มเวลาราวครึ่งชั่วโมงจึงลุกไปปัสสาวะ (ห้องส้อมของบราเดอร์มีโถสำหรับปัสสาวะ) ปัสสาวะไม่ยอมออกจึงออกแรงเบ่งสักพัก ปัสสาวะทะลักออกมาท่วมท้น มีเสียงดัง "แป๊ก แป๊ก" สองหนที่โถรองรับปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะเสร็จรู้สึกโล่งสบาย อาการปวดหน่วงที่หัวเหน่าซึ่งร้าวไปถึงรอบปั้นเอวนั้นหายหมด บราเดอร์จึงพบว่ามีหิน ๒ เม็ดออกมาพร้อมปัสสาวะตามที่ได้เก็บมาดองไว้นี่แหละ
ประมาณปี ๒๕๓๘ - ๒๕๓๙ ผมทราบว่าเพื่อนร่วมรุ่นคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์คนหนึ่งป่วยมีอาการคล้ายเป็นนิ่ว ผมจึงโทรศัพท์ไปเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟัง ปรากฏว่าเขาได้ไปรักษาในโรงพยาบาลเอกชนแล้ว ใช้เงินไปราว ๗ หมื่นบาท
ต่อมาอีกหลายเดือน เพื่อนของผมคนนี้ก็โทรศัพท์มาจากจังหวัดบุรีรัมย์ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นพาณิชย์จังหวัดอยู่ที่นั่นมาเล่าให้ฟังว่า พ่อค้าคนหนึ่งในตลาดป่วย มีลักษณะอาการคล้ายกับที่เขาเคยเป็น ได้ไปตรวจรักษามาหลายโรงพยาบาลก็ยังไม่หาย พาณิชย์จังหวัดรู้จักชอบพอกับเขาจึงบอกตำราตำลึงกับสารส้มย่างมาคั้นกิน พ่อค้าคนนั้นได้ไปทำกินอยู่ ๒ วัน ๕ มื้อ ก็ปัสสาวะเบ่งเอาเม็ดหิน (นิ่ว) ออกมาได้หลายเม็ดหายป่วยแล้ว ที่บอกมานั้น นอกจากจะแจ้งความขอบคุณจากพ่อค้าคนนั้นมายังผมแล้ว เขายังเอากระเช้าเครื่องกระป๋องผลไม้มาคารวะขอบคุณด้วย รายละเอียดเรื่องนี้ให้สอบถามได้จากคุณปาฏิหาริย์ บุญสนอง อดีตพาณิชย์จังหวัดบุรีรัมย์ และมหาสารคามเกษียณแล้ว