ผมเกิด พ.ศ. ๒๔๘๔ ช่วงก่อนสงครามเอเซียมหาบูรพาไม่กี่เดือน นายกรัฐมนตรีมีนโยบายให้ราษฎรเลี้ยงสัตว์ และทำสวนครัว ที่บ้านผมจึงเลี้ยงหมูไว้ใต้ถุนบ้านตัวหนึ่ง เป็ดอีกฝูงราว ๒๐ กว่าตัว ไก่อีก ๑๐ กว่าตัว ไข่เป็ดไข่ไก่มีขายสดๆ ทุกเช้า
ช่วงที่ผมอายุขวบกว่าถึง ๒ ขวบนั้น เวลาเช้าก่อนเปิดหน้าถัง (หน้าร้านหรือโรงที่เปิดปิดด้วยกระดานเป็นแผ่นๆ ตามรางที่ทำไว้ มักมีตัวเลขบอกลำดับแผ่นกำกับเพื่อสะดวกในการปิด) ขายของ แม่จะนำผมไปผูกข้อเท้าข้างหนึ่งติดไว้กับเสากลางเรือนเพื่อป้องกันมิให้ผมเดินเปะปะพลัดตกจากเรือนที่ลดหลั่นเป็น ๓ ระดับ แรกๆ ที่ถูกผูกข้อเท้าผมคงโวยวายน่าดู แต่นานเข้าๆ ก็คุ้นชินถึงขนาดที่ว่า ถ้าไม่ผูกข้อเท้าล่ะก็จะนอน (กลางวัน) ไม่หลับทีเดียว เวลาผมถูกผูกข้อเท้าและนอนพังพาบลงมองลอดช่องกระดานพื้นเรือนลงไปใต้ถุน เห็นหมูที่เลี้ยงไว้ถูกผูกขาข้างหนึ่งติดกับเสาเรือนกลางเหมือนผม (เรา) เลย ผมจึงมีความผูกพันกับหมูตัวนี้มาก เรียกมันว่า ไอ้มัด ครั้นหมูโตได้ขนาดก็ถูกขายไป พอ "ไอ้มัด" ถูกแก้มัดให้ลูกน้องของพ่อค้าเขียงหมูต้อนมันไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ ผมก็ร้องไห้โฮวิ่งตามไปหมายแย่งหมูกลับคืน แม่และญาติๆ ของผมต้องเข้าอุ้มผมเป็นโกลาหล ทั้งๆ ที่ถูกต้อนไปฆ่าแท้ๆ แต่ "ไอ้มัด" กลับเดินไปโดยดี เพราะมันคงไม่รู้ว่าเขาเอามันไปทำอะไร บางทีมันอาจแอบดีใจก็ได้ว่า "เฮ้ย ได้แก้มัดแล้วโว้ย!"
"สมองหมู" จึงเหมาะกับการปรุงอาหารกินมากกว่าสมองของผม เพราะแม้จะอายุ ๒ ขวบเศษ แต่จากประสบการณ์ของผมที่ได้เห็นแทบทุกเย็น คือ ภาพคนต้อนหมูเดินผ่านหน้าบ้านไปเข้าโรงฆ่าสัตว์ซึ่งตั้งนอก "ประตูเวียง" ห่างจากบ้านผมสัก ๓๐๐ เมตร กลางคืนดึกๆ หลังเที่ยงคืนชาวบ้านที่ตื่นขึ้นมาหรือยังไม่หลับจะได้ยินเสียงฆ้อนทุบ (หัวหมู) ดังระคนปนกับเสียงแผดร้องของหมู
ผมร้องไห้อีกหลายคืน "ไอ้มัด" จึงเป็นหมูตัวสุดท้ายที่เราเลี้ยง
เมื่อไม่มีหมูแล้ว ฝูงไก่ใต้ถุนเรือนจึงเป็นเพื่อนกล่อมใจให้เพลินและนอนหลับตอนกลางวัน แน่นอน ผมต้องเอาบ่วงเชือกที่ทำจากเศษผ้ามาสวมรัด (มัด) ข้อเท้าด้วยจึงจะนอนหลับ ไม่ใช่เป็นการรำลึกถึง "ไอ้มัด" หรอก แต่คงเพราะความคุ้นชิน เช่นเดียวกับผู้ใหญ่บางคนที่ต้องสูบบุหรี่หลังอาหารจึงจะรู้สึกอิ่มอร่อย ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าการสูบบุหรี่มีโทษต่อตนเองก็ตาม
ผมนอนพับพาบดูฝูงไก่ทุกวัน จนวันหนึ่งจึงสังเกตเห็นว่า แม่ไก่ตัวใหญ่ที่หายหน้าไปหลายวันได้ออกจากรังมาแล้ว ครั้งนี้มันมีลูกไก่เล็กๆ อีก ๙ ตัว ซุกอยู่ใต้ปีกทั้งสองด้วย ท่าทางแม่ไก่หวงห่วงลูกมาก คอยส่งเสียงเรียกลูกๆ เข้ามาซุกใต้ปีกมันอยู่เนืองๆ เมื่อไก่ตัวอื่นหรือสัตว์อื่น แม้แต่คนเข้าไปเฉียดใกล้ละก็ แม่ไก่จะส่งเสียงขู่เตือนทันที ถ้าขืนล้ำเข้าไปอีก จะถูกแม่ไก่พุ่งเข้าจิกตีอย่างดุร้ายทันที ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้แม่ไก่ไม่สะดวกในการออกคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินเช่นไก่ตัวอื่นๆ แม่จึงนำปลายข้าวราวกำมือหนึ่งโปรยให้เฉพาะไก่แม่ลูกอ่อน ผมนอนมองลอดลงไปใต้ถุนเห็นลูกไก่พรูกันออกจากใต้ปีกแม่ไก่มาจิกกินปลายข้าว โธ่...ไก่น้อยอ่อนหัดจิกกินข้าวยังจิกไม่ค่อยได้ แม่ไก่ต้องจิกกินให้ดูเป็นตัวอย่าง กว่าจะจิกกินให้ดูครบ ๙ ตัว ปลายข้าวก็แทบไม่เหลือแล้ว ลูกไก่ที่อ่อนแอบางตัวกินไม่ทันพี่น้องก็ได้แต่ร้องเจี๊ยบๆ น่าสงสาร
ผมนึกเปรียบตัวเองถ้าเป็นลูกไก่คงกินไม่อิ่ม จึงคิดหาทางช่วยลูกไก่ โดยตอนแรกใช้กะลามะพร้าวซึ่งเคยเป็น "กระบวย" ด้ามหลุดตักปลายข้าวเกือบเต็มแล้วแอบมุดลงไปใต้ถุนซึ่งล้อมรั้วไม้ไผ่ไว้เป็นเสมือนเล้าเป็ดไก่ (และหมูในอดีต) พอโผล่เข้าไปก็เผชิญหน้ากับแม่ไก่ดุร้ายกางปีกพองขนส่งเสียงขู่พร้อมกับพุ่งมาจากริมรั้วด้านหน้าบ้านทันที ผมใจหายวาบรีบโกยอ้าวออกมา และปิดประตูเล้าทันหวุดหวิด เช้าวันรุ่งขึ้น ผมมีวิธีที่ดีและปลอดภัยจากการจิกตีของแม่ไก่แล้ว เพราะผมเห็นแล้วว่าแม่ไก่พาลูกๆ ไปอยู่ริมรั้วด้านหน้าบ้าน รั้วด้านนี้ใช้แผ่นไม้กว้างราว ๕ เซ็นติเมตรตีปะแผ่นเว้นแผ่น ดังนั้นช่องว่างนี้จึงกว้างมากพอให้ลูกไก่มุดออกมาที่ลานหน้าร้านค้าของเราได้ แต่แม่ไก่ตัวโตเกินกว่าที่จะมุดออกไป
ผมจึงรีบใช้กระบวยด้ามหลุดนั้นจ้วงเอาปลายข้าวเกือบเต็มแล้วโปรยหว่านปลายข้าวลงตรงปากช่องว่างระหว่างไม้รั้ว ลูกไก่ที่แข็งแรงและคงจะฉลาดด้วยจึงวิ่งนำออกมาจิกกินเม็ดข้าว ส่วนลูกไก่ ๒-๓ ตัวที่อ่อนแอยังวิ่งตามออกไปไม่ทันกินข้าวก็หมดแล้ว ผมจึงโปรยเม็ดข้าวไกลออกไปๆ เพื่อให้ลูกไก่ที่อ่อนแอได้มีโอกาสกินด้วย ดังนั้น ผมจึงต้องออกแรงเหวี่ยงโปรยข้าวให้ไกลออกไปทั่วๆ ลานหน้าร้านค้า ผมเหวี่ยงโปรยเม็ดข้าวอย่างสนุก ที่สุดเหลือเม็ดข้าวเล็กน้อยอยู่ก้นกระบวย ผมถอยหลังมาหลายก้าวแล้ววิ่งไปหน้าบ้าน สาดเม็ดข้าวจากกระบวย อนิจจา ... นอกจากเม็ดข้าวจะหลุดออกไปแล้ว ร่างของผมก็พุ่งหลาวลงไปเช่นเดียวกับเม็ดข้าวด้วย
ตุ้บ ! พลั่ก ! แว้ก ! โฮ !
ร่างของผมหล่นจากที่สูง ๑ เมตรพุ่งลงไปนอนคว่ำหน้ามือเท้ากางอยู่บนลานดิน แม่หยุดมือที่กำลังหยิบของขายให้ลูกค้า กระโดดผลุงลงไปอุ้มร่างผมพลิกขึ้นมา เลือดสาดกระจายเต็มหน้ามาจากแผลเหนือหว่างคิ้วตรงขึ้นไปใกล้ตื่นผมมีรอยหินรูปทรงกลมเจาะบุ๋มเข้าไปขนาดเหรียญห้าบาท แม่ผมจับผมนอนตักโดยชันเข่ายกด้านหัวของผมให้สูงขึ้น ใช้ชายผ้าถุงปิดปากแผลห้ามเลือด พลางร้องบอกญาติให้รีบไปตามหมอมาทันที หมอที่ว่านี่คือหมอแผนโบราณซึ่งในสมัยสงครามนั้น แพทย์แผนปัจจุบันที่จบมาจาก "ศิริราช" หรือ "จุฬาลงกรณ์" นั้น ทั้งจังหวัดมีคนเดียว ทุกวินาทีผ่านไป แม่ต้องเกิดความทุกข์ร้อนใจแสนสาหัสเพราะเลือดยังทะลักออกมาแข่งกับเสียงร้องโอดโอยของลูกชายจอมซน
ทันใดนั้นเอง รถม้าคันหนึ่งก็แล่นมาถึงหน้าบ้าน พ่อผมเผ่นผลุงลงมาและขึ้นไปฉวยเอาก้อนยาสูบ (ยาตั้ง)
ยาสูบเส้น |
ขยุ้มหนึ่งชุบและบีบน้ำออกให้พอหมาดๆ แล้วกรากเข้าไปผลัดอุ้มผมแทน และใช้ยาสูบที่เตรียมไว้นั้นปิดครอบแผลทันที เหมือนยาวิเศษจริงๆ สายตาคนที่มามุงดูอีกหลายสิบคู่ รวมทั้งคู่ของหมอแผนโบราณที่เพิ่งมาถึง เห็นประจักษ์ว่าเลือดซึมออกมาน้อยลงๆ และหยุดได้ภายในอึดใจเดียว ชะงัดดีจริงๆ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านในย่านนั้นก็รู้กันทั่วว่ายาสูบ (ยาตั้ง) ซึ่งมีอยู่ทุกครัวเรือนนั้นนอกจากใช้มวนบุหรี่สูบแล้ว ยังใช้ปิดแผลสดห้ามเลือดได้อย่างเด็ดขาด
ผมรอดตายมาจนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ได้ไปผ่าตัดเหงือก และหมอให้ผมกัดผ้ากอซห้ามเลือดตั้งแต่ ๑ ทุ่ม จนถึงรุ่งเช้าเลือดยังไม่หยุด ผมมีภารกิจสำคัญต้องไปเป็นประธานอนุกรรมการตัดสินการประกวดเรื่องหนึ่ง นึกถึงสภาพทุลักทุเลที่ประธานต้องกัดผ้ากอซแล้วพูด ผมคิดถึงยาสูบห้ามเลือด แต่ผมเลิกสูบบุหรี่มาสิบกว่าปีแล้ว ตั้งใจว่าสว่างแล้วจะออกไปซื้อบุหรี่ซองหนึ่งจากร้าน "เซเว่นอีเลฟเว่น" ข้างบ้านนึกเฉพาะยาสูบมาพอกเหงือกคงห้ามเลือดชะงัด
แต่ยังไม่ทันออกจากบ้าน ภรรยาของผมพอทราบว่าผมเตรียมจะทำอะไร เธอก็ท้วงว่าถ้าผมอมกัดยาสูบห้ามเลือดแม้ห้ามเลือดได้แต่ผมคงเมายา อาจขับรถไปเกิดอุบัติเหตุหรือนั่งประชุมอย่างเลอะเลือน เธอจึงฉวยกระติกออกไปอย่างว่องไว และซื้อน้ำแข็งที่ทุบฝอยๆ มา ๕ บาท ผมอมน้ำแข็งคำโตเน้นตรงแผลที่เหงือก น้ำแข็งละลายผมก็กลืนลงท้องไป มีเลือดปนบ้างก็ช่างมัน คอยเติมน้ำแข็งให้เต็มปากไว้ หนึ่งชั่วโมงผ่านไปได้เวลาประชุม ผมดำเนินการประชุมได้ตามปกติไม่รู้สึกว่ามีเลือดไหลในปากอีก เลิกประชุมแล้วลองใช้ผ้ากอซซับดู ไม่ปรากฏหยดเลือดแน่นอน นี่เป็นกรณีเฉพาะแผลในปาก การใช้น้ำแข็งห้ามเลือดจึงใช้ได้ผลดีกว่าใช้ยาสูบ แต่ถ้าเป็นแผลที่อวัยวะภายนอก เช่น กรณีแผลที่หน้าผากของผมละก็ใช้ยาสูบหรือยาตั้งชุบน้ำบีบพอหมาดๆ แล้วปะคลุมปากแผลจะดีกว่า ไม่มีการละลายด้วย เราอาจใช้ผ้าพันแผลหรือปลาสเตอร์ยึดตรึงไว้ได้ แต่จะทำเช่นนี้กับกรณีใช้น้ำแข็งไม่ได้ อย่างไรก็ดีตอนที่ผมบาดเจ็บสาหัสนั้นยังไม่มีน้ำแข็งขายที่ลำปางหรอกครับ ปกติชาวบ้านจะใช้หญ้าสาบเสือ (หญ้าแมงวาย)
หญ้าสาบเสือ |