Wednesday, August 16, 2017

กวีที่ถูกลืม

                ถ้าท่านเดินเลาะเลียบบาทวิถีถนนเจริญกรุง  จากด้านโรงภาพยนตร์ "เฉลิมกรุง" มุ่งไปทางสะพาน "ดำรงสถิต" (เหล็กบน) จะผ่านซอยเล็กๆ ด้านขวามือซอยหนึ่ง  ซึ่งบัดนี้ยังมีป้ายเขียนบอกว่า "ซอยพิชิต"  เมื่อก่อนๆ เคยเขียนป้ายว่า "ตรอกพิชิต" นั่นเอง  ถ้าเลี้ยวเข้าไปในซอยพิชิต จะต่อไปยังย่านศูนย์การค้า "วังบูรพา" ได้

               ตรงบริเวณแถวๆ ซอยพิชิตนี่เอง  เป็นนิวาสสถานวังเดิมของเจ้านายสูงศักดิ์พระองค์หนึ่ง ซึ่งเมื่อเอ่ยพระนามแล้ว  คนรุ่นปัจจุบันอาจจะต้องหันหน้าไปมองกันเป็นเชิงถามว่า  ท่านทรงมีผลงานอะไรด้านไหนบ้าง   แต่ผู้ที่ศึกษาพงศาวดารชาติไทยในยุคสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ "พระปิยมหาราช"  จะต้องทราบดีว่า  พระองค์ท่านทรงเป็นกำลังสำคัญในการบริหารบ้านเมืองสยามในยุคที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานต้านกระแสอำนาจอันยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจจากยุโรปในขณะนั้น  ภาระหน้าที่ของพระองค์มีลักษณะเป็น "ฝ่ายบุ๋น" ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งที่เรียกในยุคนั้นว่า "อธิบดีศาลต่างประเทศ"  มีหน้าที่ว่าคดีกรณีพิพาทกระทบกระทั่งระหว่างคนไทยกับคนต่างชาติ  โดยเฉพาะพวกชนชาติจากเมืองขึ้นหรือคนในบังคับของมหาอำนาจที่เข้ามาอยู่ทำมาหากินในเมืองไทย

               "ฝ่ายบุ๋น"  มีบทบาทสำคัญยิ่งกว่า "ฝ่ายบู๋"  ในยุคนั้น  เพราะเราย่อมรู้ตัวเราดีว่า  ด้วยกำลังคนและประสิทธิภาพของอาวุธที่สยามมีอยู่ในเวลานั้น  เราไม่มีหนทางใดๆ ที่จะทำสงครามกับพวกเขา  แต่เราจำเป็นต้อง "ซื้อเวลา"  โดยอาศัยฝ่ายบุ๋น  คือ  ความสุขุมรอบคอบชิงไหวชิงพริบกับมหาอำนาจ  ก็คือบรรดาพวกขี้ข้าฝรั่งจากเมืองขึ้นต่างๆ  เมื่อมาทำมาหากินในเมืองไทย  ก็มีอยู่ไม่น้อยที่มักแสดงความเย่อหยิ่งจองหองเกินเหตุ  จนเกิดพิพาทกับคนไทยเจ้าของประเทศ   เผอิญหัวหน้าฝ่ายบุ๋นในเชิงอรรถคดีของไทยเวลานั้น  ที่มีตำแหน่งเรียกว่า "อธิบดีศาลต่างประเทศ" นั้น เป็นนักศึกษาค้นคว้าที่ยิ่งใหญ่มากพระองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย  ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  "บิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย"  ได้ทรงพระนิพนธ์ถึงท่านผู้นี้ว่า ทรงมีมานะอุตสาหะศึกษาภาษาอังกฤษ และฝรั่งเศสด้วยพระองค์เองเพื่อนำไปใช้ว่าคดีในศาลต่างประเทศ  ลองคิดดูเถิดว่าในยุคสมัยนั้น หาครูสอนภาษาต่างประเทศ ๒ ภาษานี้  ย่อมยากเย็นเพียงใด  แต่พระองค์ก็ทรงศึกษาจนใช้การได้

             
(ภาพจากเว็บไซต์)
  เจ้านายพระองค์นี้  คือ  พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าคัคณางค์ยุคล  กรมหลวงพิชิตปรีชากร (ต้นสกุล "คัคณางค์)  ทรงเป็นพระเจ้าน้องยาเธอในรัชกาลที่ ๕  อันสืบสายตรงจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔   กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงรับภาระหนักในกรณียกิจสำคัญของบ้านเมือง  ดังกล่าวมาแล้วนั้น  ทำให้ไม่มีเวลาที่จะทรงพระนิพนธ์เรื่องกวีนิพนธ์ขนาดยาวๆ น่าเสียดายมาก  เพราะฝีพระโอษฐ์ในการแต่ง "โคลงสี่สุภาพ" นั้น  ผู้ศึกษาบทโคลงทุกๆ คน เมื่อได้เห็นแล้วต้องออกปากสรรเสริญพระปรีชาสามารถว่าสมสร้อยพระนาม "ปรีชากร" จริงๆ  ขอยกมาให้ดูเฉพาะที่ยอดเยี่ยมดังนี้




                            อังวะธิราชเจ้า             ภุกาม
                    ฉลองธาตุร่างกุ้งงาม             ครึกครื้น
                    ขนมต้มชื่อชาวสยาม             ตนหนึ่ง
                    ขันต่อยตีพวกพื้น                 ม่านรู้ครูมวย ฯ

                        ฉับฉวยชกฉกช้ำ          ฉุบฉับ
                    โถมทุบทุ่มถองทับ                ถีบท้าว
                     เตะตีต่อยตุบตับ                 ตบตัก
                    หมดหมู่เมงมอญม้าว             ม่านเมื้อหมางเมิน ฯ  

                            เกินสิบต่อยบ่ซ้ำ          สองยก
                     ม่านกระษัตริย์หัตถ์ลูบอก       โอฐพร้อง
                     ชาติสยามผิยามตก              ไร้ยาก  ไฉนนา
                     ยังแต่ตัวยังต้อง                  ห่อนได้ภัยมี  ฯ

                            ฉากนี้สมพากย์พร้อง     เพรงสุภา  สิตเอย
                     เคยปากหากพูดมา              มากครั้ง
                     กรุงศรีอยุธยา                    ไป่ขาด  ดีเลย
                     รูปฉากพากย์ติดตั้ง              ต่อให้เห็นจริง  ฯ


                ใน พ.ศ. ๒๔๓๐  ร้อยปีเศษมาแล้ว  สมเด็จพระปิยมหาราชทรงโปรดให้ช่างเขียนภาพพระราชพงศาวดารไทยเป็นตอนๆ  ไปประดับในงานออกพระเมรุเจ้านายที่ท้องสนามหลวง  แล้วโปรดให้เจ้านายและบรรดาขุนนางข้าราชบริพารที่สันทัดกวีนิพนธ์  แต่งโคลงสี่สุภาพบรรยายภาพเหล่านั้นทั้งหมด ๙๒ ภาพ   กรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงพระนิพนธ์บรรยายไว้ ๒ ภาพ คือ  ภาพที่ ๒๙ กับภาพที่ ๖๙  อันเป็นพระราชพงศาวดารไทยตอนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำ "ยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา" ภาพหนึ่ง  กับอีกภาพหนึ่งเป็นภาพคนไทยชื่อ "นายขนมต้ม"
นายขนมต้ม
(ภาพจากเว็บไซต์)
 ถูกพม่าจับตัวไปเป็นเชลยศึกเมื่อครั้งกรุงแตก  ตกไปอยู่เมืองพม่าแล้วอาสาขึ้นชกมวยกับพม่าหน้าที่นั่งพระเจ้ากรุงอังวะ

                 โคลงชุดนี้  ตีพิมพ์เฉพาะในวาระสำคัญๆ เท่านั้น  คราวหลังสุดทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ  ให้พิมพ์ในงานพระราชพิธีฉลองพระชนมายุ ๕ รอบ  ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณวัฒนา  เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖

                  บทกวีนิพนธ์ที่แต่งเป็นคำกลอนนั้นอ่านเข้าใจง่าย  ด้วยเป็นคำประพันธ์ที่ใช้ถ้อยคำพื้นๆ ไม่นิยมใช้ศัพท์ เช่นในคำประพันธ์ประเภทกาพย์และกลอน  ส่วนโคลงสี่สุภาพ  แม้ว่าจะใช้  "คำไทย" แท้ๆ  เกือบทุกถ้อยคำดังที่ปรากฏในพระนิพนธ์ที่ยกมานี้ก็ตาม  แต่ "ลีลา" ของโคลงสี่เป็นเอกลักษณ์พิเศษต่างจากกาพย์กลอนและฉันท์  ซึ่ง ๓ ประเภทนี้มีลีลาไม่ต่างกันมากนัก  ทว่าลีลาของโคลงสี่เป็นแบบฉบับเฉพาะ  เมื่ออ่านจะมีเสียงสะบัดสะบิ้งกระตุกกระตัก  เวลาแปลความก็ยากกว่ากาพย์กลอน

ด้วยเหตุนี้เอง   โคลงพระนิพนธ์อีกบทหนึ่งซึ่งกรมหลวงพิชิตปรีชากรทรงฝากฝีพระโอษฐ์จารึกไว้ใต้ภาพ "รามเกียรติ์"  ณ เสาพระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ทรงบรรยายภาพ "มัจฉานุ"  จึงมีคนกล่าวถึงไม่บ่อยครั้งนัก  เฉพาะแต่ผู้รู้เรื่องโคลงลึกซึ้งจึงจะยกย่องและอธิบายให้คนทั้งหลายเข้าใจได้  เช่น ท่านอาจารย์สถิตย์ "กวีสามกรุง"  เสมานิล  เคยกล่าวว่าโคลงพระนิพนธ์ของกรมหลวงพิชิตปรีชากรบทนี้  สามารถสรุปเรื่องราวหลากหลายเกี่ยวกับโคตรเหง้าเหล่ากอ  ชาติกำเนิด  รูปกายลักษณ์และภูมิสถานหน้าที่ของมัจฉานุเอาไว้ได้หมดในโคลงบทเดียว  ดังนี้


                     หลานลมหลานราพณ์ทั้ง        หลานปลา
      หลานมนุษย์บุตรมัจฉวา                นเรศพ้อง
      ยลหางอย่างมัตสยา                    กายเศวต  สวาแฮ
      นามมัจฉานุป้อง                        กึ่งหล้าบาดาล  ฯ


รามเกียรติ์
(ภาพจากเว็บไซต์)

รามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ
(ภาพจากเว็บไซต์)


                อาจารย์สถิตย์ยังท้าว่า  ใครๆ ก็ไม่อาจแต่งได้ดีเสมอโคลงบทนี้   ท่านผู้ใดอยากทราบว่าโคลงบทนี้ดีจริงอย่างท่านอาจารย์สถิตย์ยกย่องหรือไม่  ก็โปรดอ่านเรื่องรามเกียรติ์ตั้งแต่ต้นๆ จนถึงตอน  "ศึกไมยราพ" ก็ย่อมประจักษ์เอง

                นอกจากโคลงสี่สุภาพที่ยอดเยี่ยมแล้ว  กลอนเพลงยาวก็ทรงไว้บ้าง  แต่ที่ทรงพระนิพนธ์ร้อยแก้วเป็นทำนองเรื่องสั้นแบบสมัยใหม่  เป็นการบุกเบิกการเขียนนิยายเรื่องสั้นเป็นเรื่องแรกของนักเขียนสยาม  ทรงใช้ชื่อเรื่องว่า "สนุกนึก"  เผอิญตัวละครและฉากสถานที่ไม่เหมาะแก่ยุคสมัยด้วยใช้สถานที่ "วัดบวรนิเวศวิหาร" และตัวละคร(สมมุติ) เป็นพระภิกษุหนุ่มๆ ในสังกัดวัดนั้น  ซึ่งเผอิญสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ พระสังฆราชเจ้าซึ่งประทับอยู่ ณ วัดนั้น  ทรงโทมนัสเรื่องสั้น "สนุกนึก" จึงไม่สนุกต่อไปจนจบเรื่องได้   ก็คงเป็นธรรมดาของผู้คิดค้นริเริ่มเรื่องอะไรเป็นครั้งแรกคนแรก  ก็มักจะเจ็บปวด  เช่น  นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียน ชื่อ กาลิเลโอ (Galileo)  กาลิเลโอผู้ค้นพบว่า "โลกกลม" ในยุคสมัยที่คนเชื่อว่า "โลกแบน" กันทั้งนั้น  กาลิเลโอจึงถูกจับขังคุกหลายปีจนตาบอด  จึงได้ออกมาตายนอกคุก

                จึงไม่แปลกกระมังที่  กรมหลวงพิชิตปรีชากร  ทรงเป็น "กวีที่ถูกลืม"


ผู้เรียบเรียงประวัติ ศุภกิจ นิมมานนรเทพ
(เรื่องนี้เคยพิมพ์ในหนังสือ "กวีแก้ว ๓๒"  ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๒)