Monday, August 28, 2017

             ถ้าทำความฝัน..."ครัวไทยไปครัวโลก"  ได้  คนชนบท คนชรา  ก็หาอาชีพเสริมเลี้ยงชีพได้ไม่เป็น "ตุ้มถ่วง" ของครอบครัวและสังคม!
ศ.นพ.ประเวศ วะสี

             ศ.นพ. ประเวศ วะสี  "ราษฎรอาวุโส"  ผู้ศึกษาเข้าใจสังคมไทยอย่างยิ่งคนหนึ่ง  ได้กล่าวว่า "ปัญหาของประเทศไทย คือ การพัฒนาเป็นส่วนๆ ต่างหน่วยงาน ต่างองค์กร ต่างคนต่างทำ จึงไม่ประสบความสำเร็จ  ยิ่งพัฒนายิ่งถอยหลัง  ยิ่งช่วยคนจน  ก็ยิ่งยากจน  หนี้สินเพิ่มขึ้นๆ ..."

             นโยบายเรื่อง "ครัวไทยไป(สู่)ครัวโลก"  ไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดไหนคิดขึ้นราว ๒๐ ปีแล้วมั้ง? แรกๆ ฟังแล้ว "ปิ๊ง" เพราะบรรดานักท่องเที่ยวนานาชาติที่มาเยือนเมืองไทยปีละนับล้านคน  พอพูดถึงรสชาดอาหารไทย  ต่างก็ยกนิ้วให้โดยเฉพาะเมนูต้มยำกุ้ง  ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย  ข้าวผัดปู(ปูทะเลหรือปูม้า) บางส่วนซี้ดปาดเมื่อพูดถึง "ส้มตำ" ฯลฯ   แต่...ครั้นเมืองไทยเกิดวิกฤต  "ต้มยำกุ้ง"  รัฐบาลต่อๆ มาก็ไม่พูดถึงนโยบาย "ครัวไทยไปสู่ครัวโลก" อีก  จนบัดนี้คนไทยก็ชักลืมๆ ไปแล้ว  แต่...นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เคยลิ้มชิมรสอาหารไทยยังถวิลหา  ก็ยากที่จะได้กินในภูมิลำเนาของตน หรือนอกประเทศไทย

เมนูน้ำพริก


บริษัทคนไทย ๓-๔ ราย ได้โอกาสดี ผลิตเครื่องปรุง/เครื่องแกงสำเร็จรูปของอาหารไทย บรรจุซองออกจำหน่ายซึ่งคนไทยในต่างแดนบางส่วน  ก็พอจะอาศัยปรุงกิน "กล้อมแกล้ม" แต่คนต่างชาติย่อมยากที่จะกล้าหาญลงมือปรุงอาหารไทยกินกันเอง  แต่ถึงกระนั้น  บริษัทผู้ผลิตเครื่องปรุง/เครื่องแกงก็พออยู่ได้ด้วยรายได้ระดับสิบๆ ล้านบาทขึ้นไปถึงร้อยๆ ล้านบาท  โตช้าๆ ไม่รุ่งเท่าที่ควร

ผู้เขียนลองเสนอแนวทางที่จะทำให้ความฝันของ "ครัวไทยไปสู่ครัวโลก"! ได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ ทั้งนี้  โดยต้องร่วมมือกันอย่างผสมกลมกลืนหลายๆ ภาคส่วน  ทั้งภาคราชการและเอกชนดังนี้คือ

๑.  จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานให้ "ครัวไทยไปสู่ครัวโลก"! โดยคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง  มีระดับรองนายกฯ และข้าราชการระดับสูง  รวมทั้งภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการฯ

     ๑.๑.  เริ่มโดยขอให้การท่องเที่ยวฯ  พิมพ์แบบสอบถามเพื่อพิสูจน์ทราบว่า  นักท่องเที่ยวที่มา
            ลองลิ้มชิมรสอาหารไทยแล้ว  เขาชอบอาหารเมนูใดบ้าง? รสชาดระดับใด (อ่อน/กลาง
            เข้ม/เผ็ด)

     ๑.๒.  ขอความร่วมมือ  แจกให้ตอนตรวจคนเข้าเมืองเมื่อกรอกข้อมูลแล้ว  ขอรับคืนตอนตรวจ
            ออกเมือง (โดยหาของที่ระลึกเล็กน้อย มอบแก่ผู้นำแบบพิมพ์/ที่กรอกข้อมูลมาส่งคืน)

     ๑.๓.  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสามารถศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามที่รับคืน
             มาก็ย่อมทราบข้อมูล  อย่างน้อยคือ

            (ก.)  ชาวเมืองใด/ประเทศใด  สนใจทดลองกินอาหารไทยสักกี่คน (มาก/น้อย?
                   เทียบ%)
            (ข.)  อาหารที่ชอบคือ เมนูใด?
            (ค.)  รสชาดอาหารที่ชอบคือ รสอ่อน/กลาง/จัด? ฯลฯ

      ๑.๔.  ชาวไทยภาคต่างๆ ยังกินอาหารต่างระดับรสชาดกัน  เช่น  ภาคเหนือล้านนารสอ่อน
             ภาคกลาง/รสกลางๆ  ภาคอีสาน/ภาคใต้  รสจัด/ถึงจัดเข้ม

***ชาวจีน(และประเทศที่กว้างใหญ่อื่นๆ) จะชอบรสชาดอาหารต่างกันแน่นอน เช่น คนจีนภาคเหนือไม่กินเผ็ดเลย  แต่คนจีนในภาคใต้  เช่น  ในมณฑลหยุนหนาน  เสฉวน  กุ้ยโจว  กว่างสี  หูหนาน  กินเผ็ดยิ่งกว่าคนไทยทั่วไปด้วยซ้ำ  ดังนั้นอาหารไทยที่จะจัดส่งไปเผยแพร่ ณ เมืองใด  ต้องคำนึงถึงรสชาดนิยมของชาวเมืองนั้นๆ ด้วย

      ๑.๕.  ขอความอนุเคราะห์สมาคมภัตตาคารไทยติดต่อ/เสนอไปยังภาคีสมาชิกสมาคมภัตตาคารนานาชาติว่า  ภัตตาคารในต่างประเทศใดบ้าง

             (ก.)  สนใจจะซื้อเครื่องปรุง/เครื่องแกงอาหารไทยไปทดลองจัดเมนูให้ลูกค้าของเขาได้
                    กินบ้าง?  เราจะจำหน่ายให้ในราคาถูก(๕๐%) ในช่วงเผยแพร่นี้ (กำหนดเวลา
                    สัก ๖ เดือน)  หรือ

             (ข.)  สนใจจะส่งผู้แทนภัตตาคารแห่งละ ๒ คน มา(ตระเวน)ชิมอาหารไทยบ้างไหม?

***ถ้าสนใจ (เรา)ก็เชิญมาเยือนไทยคณะละ ๕ - ๗ วัน  โดยมีเงื่อนไข คือ  ผู้เยือนจ่ายค่าเดินทางเองระหว่างไทย-กับประเทศนั้นๆ  แต่...เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้ว  กินฟรี  อยู่ฟรี  ตามกำหนดการ  จ่ายเองเฉพาะส่วนตัว

              (ค.)  สนใจจะเชิญ "พ่อครัว/แม่ครัว" จากไทยไปปรุงเอาหารไทยที่ภัตตาคารใน
                     เมืองนั้นๆ บ้างไหม?  เงื่อนไขคือ  ฝ่ายไทยออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไป-
                     กลับจากไทย-ประเทศนั้นเอง  พร้อมทั้งนำเครื่องปรุง/เครื่องแกงจากเมืองไทย
                     ไปเอง  ค่าใช้จ่ายในประเทศนั้น  เป็นภาระของเจ้าภาพรวมทั้งค่าเบี้ยเลี้ยง
                     ไม่น้อยกว่าอัตราเฉลี่ยของ "พ่อครัว/แม่ครัว" ในภัตตาคารนั้น

๒.  เมื่อได้ศึกษาข้อมูล/ทดสอบข้อมูลตามข้อ ๑  จนได้ผลสรุปแล้ว  นำมาพิจารณาในที่ประชุมคณะทำงาน/คณะอนุกรรมการฯ/คณะกรรมการฯ  เพื่อดำเนินการในลำดับก้าวต่อไป  เช่น

      ๒.๑.  ภัตตาคารในเมืองใดมีคนสนใจมากก็อาจเจรจาว่า  เขาสนใจเชิญ/จ้าง "พ่อครัว/
              แม่ครัว"  ไปทำงานประจำภัตตาคารของเขาบ้างไหม?  ทำสัญญาระยะสั้น ๓ เดือน
              ๖ เดือน หรือระยะยาว ๓ ปี ก็แล้วแต่

       ๒.๒.  ภัตตาคารบางแห่งสนใจ  แต่อาจมีศักยภาพไม่มากพอ  ก็อาจจัดคนของเมืองเขาเอง
               มาเรียนวิธีปรุงอาหารไทย  จากองค์กรในเมืองไทยก็นับว่าเป็นการเผยแพร่ที่ได้ผล
               ระดับหนึ่ง

        ๒.๓.  วัตถุดิบเพื่อปรุงเป็นนำ้พริก/เครื่องปรุงและเครื่องแกง  ผลิตได้ในชนบทไทยทุกแห่ง
                แม้มีพื้นที่จำกัดในรั้วบ้านสัก ๑๐๐-๒๐๐ ตารางวา  ก็สามารถปลูกพริกขิงข่าตะไคร้ ฯลฯ
                แม้ไม่มีพื้นดินเหมาะสมก็สามารถปลูกในกระถาง หม้อ ไห ภาชนะ ฯลฯ ที่ชำรุดแล้ว
                ก็ได้  อย่างน้อยก็ผลิตพอแก่การบริโภคในครัวเรือน

พืชผักของไทย

สมุนไพรไทยสำหรับน้ำพริก

 *** การกินอาหารอร่อยลิ้น  ใครมีสตางค์ก็ซื้อกินได้  ไม่จำกัดเพศวัย  อาหารนั้นมนุษย์กินวันละ ๓ มื้อ สามารถสร้างรายได้แก่คนหมู่มากอย่างกว้างขวาง   หากโครงการ "ครัวไทยไปสู่ครัวโลก" ได้ผลดีแล้ว  พืชผักสวนครัวสมุนไพร ฯลฯ เหล่านี้  จะมีตลาดโลกรองรับสามารถส่งออกได้ในรูปเครื่องปรุง/เครื่องแกง  มากขึ้นๆ

๓.  ที่ต้องเตรียมการ/คู่ขนานกันทันทีที่เริ่มโครงการ  คือ

        ๓.๑   สถาบันการศึกษาระดับวิชาชีพทั่วประเทศ  องค์การส่งเสริมอาชีพต่างๆ
                ต้องจัดฝึกอบรม "พ่อครัว/แม่ครัว" อาหารไทยให้มีมาตรฐาน  ผู้ผ่านการฝึกอบรม
                ตามหลักสูตรต้องมีวุฒิบัตร (ภาษาไทย/อังกฤษ) มอบให้  เผื่ออนาคต ถ้าจะไปทำงาน
                ต่างประเทศก็จะได้สิทธิพิเศษในการขอวีซ่า

        ๓.๒.  กลุ่มแม่บ้าน/ชมรมแม่บ้านทั่วประเทศต้องติดตามศึกษาข้อมูลความเคลื่อนไหว
                ในโครงการฯ อย่างใกล้ชิดเพื่อพิจารณาว่า


                ผลประโยชน์จากโครงการฯ ดีๆ ที่รัฐบาลดำเนินการฯ นี้  กลุ่มแม่บ้าน/ชมรมแม่บ้านของตนจะเข้าไปขอ "แบ่งปัน" มาได้อย่างไรและเพียงใด  เช่น  สมมุติได้ข้อมูลว่า  ภัตตาคารที่มณฑลเสฉวนมีลูกค้าสนใจจะกินอาหารไทยจำนวน ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ คน/เดือน  ดังนี้  กลุ่มแม่บ้านฯ ในภาคใต้/อีสานก็ควรเสนอไปยังผู้ดำเนินการฯ ในรัฐบาลเสนอขอรับสัญญาผลิตเครื่องปรุง/เครื่องแกงสำเร็จรูปขายให้ในราคาเหมาะสม

๔.  ในประเทศใด  เมืองใดมีลูกค้า/ภัตตาคารใดต้องการกินอาหารไทยจำนวนมาก  หากเขาต้องการจ้างพ่อครัว/แม่ครัวไทยไปทำงานประจำภัตตาคาร  เราก็ส่งออกแรงงานที่มีฝีมือ/รายได้สูงกว่าแรงงานทั่วไปออกไปเก็บเงินกลับเข้าประเทศได้อย่างดี

๕.  คนชนบท คนชรา  ถ้ามีพื้นที่ว่าง ๑-๒ ไร่  ก็ปลูกพืชผักสวนครัวขายเลี้ยงชีพได้อย่างพอเพียง  เพราะการปลูกนี้ใช้น้ำน้อย  ใช้แรงน้อย  เวลาน้อย  แต่ได้เงินมากกว่าปลูกข้าว  และพืชไร่อื่นๆ หลายชนิด