Friday, September 22, 2017

การบริหารการใช้เงิน สสส. เพื่อประโยชน์ของสูงสุด

         เงินที่รัฐใช้อำนาจจัดเก็บภาษีอากรจากเหล้าเบียร์ และบุหรี่ยาสูบ  ที่เรียกกันว่า "เงินภาษีบาป" นั้น  เป็น "เงินของแผ่นดิน" ตามหลักการที่ว่ารายได้ใดๆ ที่ใช้อำนาจรัฐใช้กฏหมาย  ใช้ทรัพย์สินของรัฐไปแสวงหามาได้  รายได้นั้นเป็น "เงินของแผ่นดิน"

 ๑.  ต้องนำเงินที่ได้นำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน   การออกกฏหมายยกเว้นไม่ให้นำเงินภาษี หรือรายได้ตามลักษณะดังกล่าวส่งเป็นรายได้แผ่นดิน  น่าจะขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญในขณะนั้น  กฏหมายอาจเป็นโมฆะ

๒.   ใครเป็นผู้จ่ายภาษี (บาป) ดังกล่าว?  แน่นอน  ย่อมเป็นผู้ (บริโภค) สูบบุหรี่  ดวดเบียร์  ดื่มเหล้า ฯลฯ  คือ ผู้บริโภคจ่าย  ตามหลักการ  ผู้จ่าย/ซื้อ  ย่อมเป็นเจ้าของสินค้าหรือรับบริการจากเงินที่ตนจ่าย  ดังนั้น  กลุ่มบุคคลผู้สูบบุหรี่  ผู้ดวดดื่มเบียร์เหล้า  สมควรอย่างยิ่งที่จะได้รับบริการจากกองทุนสร้างเสริมสุขภาพ (ส.ส.ส.) 

๓.   การที่จะให้ผู้จ่าย "ภาษีบาป"  ได้รับบริการอย่างตรงตัว  เป็นธรรม และได้ผลอย่างเห็นเป็นรูปธรรม ควรเป็นดังนี้

      ๓.๑.  นำเงิน "ภาษีบาป"  เข้าคลังแต่ผูกพันไว้ให้เป็น "กองทุนสร้างเสริมสุขภาพสำหรับผู้เสพติดบุหรี่ เหล้า เบียร์ก่อนอื่น  เมื่อเงินเหลือจึงใช้บำบัดผู้เสพยาเสพติดอื่นๆ

      ๓.๒.  ให้กระทรวงสาธารณสุข  รับสมัครผู้ที่ต้องการลด ละเลิกการเสพติดบุหรี่  เบียร์  เหล้า โดยผู้สมัครเลือกว่าประสงค์จะเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลใด (เผื่อเลือกอีกบ้าง)

      ๓.๓.   จัดบัญชีรายชื่อผู้สมัครแยกตามชื่อโรงพยาบาล  และระบุประเภทของการเสพติด (บุหรี่? เบียร์? เหล้า?)

      ๓.๔.   คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  กำหนดมาตรฐานประมาณการว่า  การบำบัดให้ได้ผลจน "ผู้เสพติด" สามารถเลิกเสพได้  จะต้องใช้งบประมาณหรือค่าใช้จ่ายเท่าไร?

               เช่น  สมมุติ  :   เลิกบุหรี่       ๕,๐๐๐ บาท/ราย
                                   เลิกเบียร์    ๑๐,๐๐๐ บาท/ราย
                                   เลิกเหล้า    ๒๐,๐๐๐ บาท/ราย

       ๓.๕.   จัดสรรงบประมาณให้เป็นค่าบำบัดรักษาในอัตรา ๕๐%  จัดสรรเป็นรางวัลไว้ให้แก่ผลสำเร็จในการบำบัด  โดยเจาะจงให้เป็นกำลังใจ (หรือรางวัลล่อใจ) แก่ผู้รับการบำบัด เช่น สมมุติ เลิกสูบบุหรี่ได้รับรางวัลตอบแทน ๒,๕๐๐ บาท  เลิกเบียร์ได้รางวัล ๕,๐๐๐ บาท  เลิกเหล้าได้รางวัล ๑๐,๐๐๐ บาท

       ๓.๖.   ทั้งนี้  ให้จัดคณะจาก ส.ส.ส. ไปตรวจติดตามผลว่า "ผู้รับบำบัด"  เลิกได้จริงภายใน ๑ ปี ไม่เสพอีกจึงจ่ายได้

       ๓.๗.   ทั้งนี้ผู้ขอรับบำบัดย่อมมีเพียงจำนวนหนึ่ง  ทำให้มีเงินกองทุนเหลือจากการใช้บำบัดผู้ติดบุหรี่ เบียร์ เหล้า  ก็ควรนำส่วนที่เหลือไปบำบัดผู้เสพติดยา หรือสิ่งเสพติดผิดกฏหมายอื่นๆ เช่น ยาบ้า กัญชา ฯลฯ  ซึ่งไม่เสียภาษี  จึงควรรับบริการภายหลังจากกองทุนที่เหลือใช้