ช่วงเรียนชั้นประถม ผมเรียนในโรงเรียนราษฎร์เพิ่งตั้งไม่กี่ปีแต่ก็อยู่ใกล้บ้าน ชื่อว่า "พินิจวิทยา" เจ้าของมีเมตตา ถ้าครอบครัวใดมีลูกหลานเข้าเรียน ๓ คน จะคิดค่าเรียนเพียงสองคน จบประถมปีที่ ๔ คุณครูให้โอวาทและอวยพรให้ในวันปิดภาคเรียน ขอให้เราสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดให้ได้(นะ) เพราะ "โรงเรียนประจำจังหวัด" เป็นของรัฐบาล ผู้ปกครองจะลดภาระลงมากกว่าเรียนโรงเรียนราษฎร์
ผมโชคดีที่ได้คุณครูดีๆ โดยเฉพาะครูที่เริ่มแรกสอน ทำให้อยากไปโรงเรียน ดูเหมือนชื่อ "คุณครูนันทา" ซึ่งโรงเรียนยังขอให้ทำงานถึงอายุ ๘๐ ปี ใครๆ ในโรงเรียนเรียกท่านว่า "ครูคุณย่า" ก่อนที่ผมจะมาเรียนที่โรงเรียนนี้ ผมเคยเข้าเรียนครั้งแรกในชีวิตที่โรงเรียนราษฎร์ในย่าน "บ้านปงสนุก" ภูมิลำเนาเดิม แต่เรียนได้สัปดาห์เดียว ผมก็ไม่ยอมไปอีกเลย
ดร. เขียน สุวรรณสิงห์ อดีตผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นชาวลำปาง บุตรชายของ "ครูปวน หรือ ป. สุวรรณสิงห์" จิตรกรเอกของลำปางและล้านนา ดร. เขียนเล่าว่า เข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนราษฎร์ย่านบ้านปงสนุก ช่วงก่อนผม ๕-๖ ปี แต่เจอชะตากรรมคล้ายผมคือ เรียนได้สัปดาห์เดียวก็ไม่ยอมไปเรียนอีก เผอิญพี่สาวของพ่อแต่งงาน และทำงานในกรุงเทพฯ ป้ายังไม่มีลูก จึงรับหลานมาอุปการะจนเรียนดี และจบปริญญาเอกทางสถาปัตย์ คือ ดร. เขียน
"วิกฤต" ในการเริ่มเรียนของ ดร. เขียน และผมทำให้เราต่างมี "โอกาส" ชีวิตที่ดีกว่า โดยเฉพาะผมสามารถสอบเข้าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้ที่ ๑ ของจังหวัด ปีก่อนหน้าเป็นรุ่นพี่ ชื่อ "วิศิษฐ์ สมพงษ์" ส่วนนักเรียนหญิงร่วมชั้นเรียนกับผมก็สอบได้ที่หนึ่งในโรงเรียนสตรีประจำจังหวัด ชื่อ "โรงเรียนลำปางกัลยาณี" คุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนพินิจวิทยา ยังอยู่ยืนยงเป็นเวลาร่วม ๘๐ ปี ยังเป็นที่นิยมมากในระดับอนุบาลและประถม ส่วนโรงเรียนประถมที่ผมและ ดร. เขียน ไม่ไปเรียนอีก ก็เลิกกิจการไปนานกว่า ๒๐ ปีแล้ว
เมื่อแรกเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัดชาย "บุญวาทย์วิทยาลัย" ผมภาคภูมิใจมากที่ได้อ่านโคลงสี่สุภาพ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ เมื่อยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จทรงเปิดโรงเรยนและพระราชทานนามแก่โรงเรียน ความว่า
❂ วันที่ *ซาวหกนั้น เสด็จไป
ทรงเปิดโรงเรียนไทย ฤกษ์เช้า
"บุญวาทย์วิทยาลัย" ขนานชื่อ ประทานนอ
เป็นเกียรติยศแด่เจ้า ปกแคว้นลำปางฯ
** "หนานแก้ว เมืองบูรพ์"
________________________________________________________
* ๒๖ พฤศจิกายน ** พระราชนามแฝงในรัชกาลที่ ๖
________________________________________________________
มีข้อความอธิบายเพิ่มเติมว่า... มหาอำมาตย์โท พลโท เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต (เจ้าบุญทวงษ์ ณ ลำปาง) ทรงบริจาคที่ดินและพระราชทรัพย์ ก่อตั้งโรงเรียนระดับมัธยมขึ้นเพื่อให้บุตรหลานชาวลำปางได้มีแหล่งศึกษา คือ โรงเรียนบุญทวงษ์อนุกูล โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย โรงเรียนลำปางกัลยาณี
เมื่อผมเรียนถึงชั้นเตรียมอุดมศึกษา ผมยิ่งนึกถึงพระกรุณาธิคุณของท่าน "เจ้าพ่อบุญวาทย์ฯ" เพราะการที่ทรงสละพระราชทรัพย์ และที่ดินให้สร้างโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ พร้อมๆ กับโรงเรียนยุพราชวิทยาลัยของเชียงใหม่ เป็นเพียง ๒ จังหวัดในล้านนา ที่เปิดสอนระดับเตรียมอุดมฯ ก่อนจังหวัดอื่นๆ นานหลายปี
อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนประจำจังหวัดหนึ่ง ลงทุนลดตำแหน่งมาเป็นครูน้อย เพื่อให้ลูกๆ ได้ตามมาเรียนที่ "บุญวาทย์ฯ" โดยเฉพาะ คุณจำนง(แซ่เตียว) พนัส จุฑาบูลย์ ชาวเมืองตาก ซึ่งยังไม่มีระดับชั้นเตรียมอุดมฯ ได้มาสอบเข้าเรียนที่ลำปางและสร้างชื่อเสียงให้ "โรงเรียนบุญวาทย์ฯ" มาก คือ สอบไล่ได้เป็นที่ ๑๕ ของประเทศ ต่อมารับราชการได้เป็นระดับ "อธิบดี" หลายกรมในกระทรวงอุตสาหกรรม
พูดถึงศิษย์เก่าระดับรัฐมนตรีในยุค ๒๐-๓๐ ปี ยังมีชีวิตอยู่ คนลำปางรู้จักดี อดีตรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงมาก ที่ล่วงลับนานแล้ว เช่น ศาตราจารย์นายแพทย์บุญสม มาร์ติน และจอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งมีมารดาเป็นเจ้าหญิงสกุล ณ ลำปาง และบิดาคือ พระยาพายัพพิริยกิจ ข้าหลวงเมืองนครลำปาง ซึ่งมีลูกชายเรียนชั้นมัธยม จอมพลประภาส เคยเล่าว่า... วันหนึ่ง ตนถูกครูตีก้น ๓ ที จึงไปฟ้องคุณพ่อ ท่านเจ้าคุณพ่อพูดว่า... "ไอ้ตุ๊ ครูตีมึงน่ะดีแล้ว พรุ่งนี้กูจะไปขอบใจให้รางวัล แต่มึงเอาไม้มาให้กูตีเพิ่มอีก ๓ ที เพราะครูย่อมรู้ดีว่ามึงเป็นลูกเจ้าเมือง จึงไม่กล้าตีมึงเต็มอัตราโทษ..."
จอมพลประภาส จารุเสถียร |
นายแพทย์บุญสม มาร์ติน |
พระยาพายัพพิริยกิจ เป็นนักปกครองที่มีอนาคตว่าจะเป็น "เจ้าพระยา" แต่น่าเสียดายที่ขณะเป็นเจ้าเมืองพระประแดง นำคนไปจับผู้ร้าย แต่กลับถูกแทงตายอนาถ
ศิษย์เก่าบุญวาทย์ฯ รุ่นก่อนๆ ได้ดีก็ไม่ลืมโรงเรียนฯ นายกสมาคมศิษย์เก่าฯ ในช่วงนั้น คือ "พ่อเลี้ยง/ นายช่าง จินดา สมสวัสดิ์" ได้จัดงานกิจกรรมต่างๆ หาเงินสะสมจนสามารถสร้างตึก "วิทยาศาสตร์" เป็นอาคารคอนกรีตแห่งแรกของโรงเรียนฯ ซึ่งในยุคกว่า ๖๐ ปีก่อน ตึกนี้ทันสมัยโก้ที่สุดในทุกโรงเรียนมัธยมทั่วล้านนา ในตึกมี ๓ ห้อง ห้องเรียนรวมเป็นห้องใหญ่สุด มีที่นั่งลดหลั่นเป็นชั้นๆ จุคนได้ราว ๑๐๐ ที่นั่ง เสริมได้อีก ๕๐-๖๐ ที่นั่ง ห้องนี้ใช้สำหรับสอนวิชาภาษาไทย-อังกฤษ ในส่วนที่นักเรียนแผนกวิทยาศาสตร์กับแผนกอักษรศาสตร์ มีหลักสูตรร่วมกัน
ห้องที่ ๒ เป็นห้อง "วิทยาศาสตร์" มีอุปกรณ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ สาขาต่างๆ ซึ่งบางชิ้นจำลองออกจากภาพในตำราเรียน เว้นแต่อุปกรณ์เครื่องมือทางวิชาเคมี เป็นของจริงที่อาจารย์นำนักเรียนมาทดลองให้ดูรู้เห็นกับตา จนผมคิดฝันอยากเป็น "เภสัชกร" เพื่อนำตำรายาพื้นบ้านของลุง(เขย) ที่สืบมา ๕ ชั่วคนมาพัฒนา และนวัตกรรมให้รูปลักษณ์ยาเป็นแบบแผนปัจจุบัน ผมทำได้เพียง ๒ อย่าง คือ
๑. สอบวิชาเคมีตอนจบชั้นเตรียมอุดมฯ ได้คะแนน ๙๐% สูงสุดของชั้น
๒. นำตำรายาของลุงบางเรื่องมาเขียน และพิมพ์เผยแพร่กว่า ๒๐ ครั้ง จำนวนพิมพ์แแล้ว
๒๔๕,๐๐๐ เล่ม ชื่อหนังสือ "ภูมิปัญญาชาวบ้านในการรักษาโรคฯ" ผู้ใหญ่ที่ใช้ตำรานี้ได้ผล
เช่น พระราชศีลสังวร(ผ่อง จิรธัมโม) เจ้าคณะจังหวัดสงขลา และบราเดอร์อิลเดฟองโซ
อดีตภราดาในโรงเรียนต่างๆ เครือคณะเซนต์คาเบรียล ใครป่วยด้วยโรคเก๊าต์ เบาหวาน
ต่อมลูกหมากเสื่อม โรคนิ่ว โรคผิวหนังเรื้อรัง อาการเจ็บช้ำใน
แต่ห้องที่ ๓ ในตึก "วิทยาศาสตร์" นี้ คือห้องสมุดของโรงเรียน ซึ่งยอดเยี่ยมมากเพราะมีหนังสือดีๆ และหนังสือหายากอยู่เต็มตู้กว่าพันเรื่อง ผมอยากอ่าน จึงไปสมัครทำงานเป็นผู้ช่วยครูบรรณารักษ์ ทำให้ครู (ณรงค์ บุญมัติ) อนุญาตให้อ่านหนังสือชุดประวัติศาสตร์สากล ๑๒ เล่ม แปลเรียบเรียงโดยหลวงวิจิตรวาทการ ปัญญาชนยุค ๗๐-๘๐ ปีก่อน การได้อ่านมากมีผลเปลี่ยนแปลงค่านิยม และวิถีชีวิตของผม ซึ่งเคยตกอับเพราะเป็นกำพร้าพ่อ ยังพอพึ่งพาวิชาการทำให้ได้เป็นครูสอนที่โรงเรียนอัสสัมชัญลำปาง ปี ๒๕๐๒-๒๕๐๕ สอนที่กรุงเทพฯ อีกปี เพราะวิชาความรู้ที่ครูสอนมาดี ทำให้ผมสอบเข้าธรรมศาสตร์ได้
ผมสั่งสมประสบการณ์การทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยได้มากมาย จนถึงปี ๒๕๑๐ ได้เป็นประธานจัดงานฉลอง ๒๐๐ ปีแห่งพระราชสมภพในพระพุทธเลิศหล้าฯ (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง "ฟื้นอดีต ๕๐ ปี วรรณศิลป์ ม.ธ." ตีพิมพ์ในวารสาร "ศิลปวัฒนธรรม" ๔ ฉบับ ช่วงปี ๑๕๕๖-๒๕๕๗) งานที่เยาวชนชาวลำปาง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ได้ร่วมกันทำเพื่อบูชาพระคุณของ "เจ้าพ่อบุญวาทย์ฯ" ก็คือ การจัดงานหาทุนเพื่อประเดิมให้สร้างอนุสาวรีย์ของพระองค์ขึ้น ผมเป็นต้นความคิด และแก่กว่าใครๆ จึงได้รับมอบให้เป็นประธานจัดการแสดง ของนิสิตนักศึกษาชาวลำปางในพระนคร โดยมีน้องๆ นิสิตนักศึกษาจากวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ช่วยกันขายบัตรเข้าชมในราคาผู้ใหญ่ ๕ บาท นิสิตนักศึกษา ๒ บาท
ด้วยบุญบารมีแห่งคุณความดีของ "เจ้าพ่อบุญวาทย์ฯ" ทำให้มีคนช่วยเหลืองานอย่างดีเกินคาด เช่น เรานำบัตรเชิญไปเรียนท่านฯ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ขณะนั้นท่านเป็นอดีต ส.ส. ลำปาง ท่านรับบัตรไว้ แต่คืนซองที่มีสตางค์ ๕๐๐ บาทให้เรา แต่ขอตัวไม่รับเป็นประธานเปิดงาน โดยแนะนำเราว่า ควรไปเชิญศิษย์เก่าบุญวาทย์ฯ ท่านหนึ่งเปิดงาน คือ ศาสตราจารย์พลโท ดร. บัญชา มินทขินทร์ คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมเหมือนคนจุดไต้เดินตำตอ เพราะท่านเป็นคณบดีที่ผมเคยเข้าพบมาก่อน ๒ ครั้งแล้ว แต่ท่านต้องไปเปิดงานที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพราะหอประชุมใหญ่ ม.ธ. ปิดซ่อมใหญ่เครื่องปรับอากาศ
นิสิตนักศึกษาชาวลำปางหลายคน แม้ไม่ใช่ศิษย์เก่าบุญวาทย์ฯ แต่ก็ช่วยเหลือแข็งขัน เช่น คุณประวิตร โพธิอาศน์ (เคเน็ตฯ) คุณพิกุล ลิ้มสวัสดิ์ (วิชชานารี) คุณธีระ ธีระสวัสดิ์ (อัสสัมชัญฯ) อีกคนเรียนบัญชีธรรมศาสตร์ มาจากศิษย์เก่าอรุโณทัย ช่วยงานเข้มแข็ง แต่ถึงบัดนี้ ผมจำได้แต่นามสกุลเธอ "ชิวารักษ์" งานเสร็จมีเงินได้สุทธิกว่า ๘,๐๐๐ บาท ในช่วงนั้นก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวแกง ๑ บาทก็อิ่ม
ครั้นปิดเทอมใหญ่ ผมนัดกันนำเงินไปมอบแก่โรงเรียนบุญวาทย์ฯ เพื่อเป็นหน่วยงานดำเนินการต่อๆ ไป จนกว่าจะมีการสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่ "เจ้าพ่อบุญวาทย์ฯ" สำเร็จ เราได้ผู้ประสานงานดียิ่ง คือ คุณศศิธร ซึ่งเป็นทั้งกรรมการจัดงานฯ และลูกสาวอาจารย์เชตต์ วิชชุวุต ผู้อำนวยการโรงเรียนฯ แต่พวกเรามาได้เพียง ๓ คน คือ ผม คุณศศิธร และคุณชัยเลิศ พิพัฒนเสริญ (เหรัญญิก) ธีรศักดิ์ วงศ์คำแน่น (รองประธานฯ) ติดฝึกงาน ฝ่ายผู้ใหญ่ที่รับมอบเงินนี้ นอกจากผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ยังมีโอรสองค์เดียวของ "เจ้าพ่อบุญวาทย์ฯ" คือ เจ้าบุญส่ง ณ ลำปาง และศิษย์เก่าอาวุโสคนหนึ่ง จำได้ว่าขณะนั้นเป็นเทศมนตรีฯ ชื่อ เสถียร
อนุสาวรีย์รูปหล่อ มหาอำมาตย์โท พลโท เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต ได้มาประดิษฐานที่บริเวณโรงเรียนฯ ซึ่งท่านบริจาคที่ดินและเงินก่อตั้งขึ้นเป็น "โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย" แล้ว แม้ผมจะรู้สึกว่า สถานที่และภูมิทัศน์บริเวณที่ประดิษฐานอนุสาวรีย์ จะไม่สง่างามก็ตาม ผมย่อมพอทำใจรับได้ว่า ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าศาลพระเจ้ามังรายมหาราชเจ้า ผู้ทรงก่อตั้งอาณาจักรล้านนา-นครเชียงใหม่ เชิญท่านแวะไปดูที่สี่แยกกลางเวียงในเขตเมืองเดิมของเชียงใหม่ด้วยตนเองเถิด