Saturday, October 14, 2017

ตอน : คู่แล้วไม่แคล้วกัน

ในดวงใจครู  ตอน : คู่แล้วไม่แคล้วกัน


        ผมเดินข้ามสะพานรัษฎาภิเศก  มุ่งกลับบ้านที่ตรอกปลายนา  บ้านปงสนุกย่านหน้าโรงฆ่าสัตว์  เป็นถิ่นเกิดของผมที่เคยย้ายไปอยู่ย่านตลาดสดในตัวเมืองตามเตี่ยแม่  ที่ไปเป็นเอเย่นต์ขายส่งน้ำแข็ง  ขณะนั้นมีรายเดียวคือ โรงน้ำแข็งย่านท่าข้าวน้อย

        ทุกเช้าเย็น  แม่จะพาผมและน้องชายอีก ๒ คน  เดินข้ามแม่น้ำวังไปที่ร้านค้าตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามตลาดบริบูรณ์  ใกล้สี่แยกไปวัดน้ำล้อม  ตอนเย็นก็เดินย้อนกลับบ้าน   ในฤดูน้ำหลากราวปีละไม่เกิน ๒ เดือน  เราเดินข้ามทางสะพานคอนกรีตแห่งแรกที่ข้ามแม่น้ำวัง 
เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต

                                   สะพานรัษฎาภิเศก สร้างในปี ๒๔๖๐
                                    Cr. from website

เดิมเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้าย (https://th.wikipedia.org/wiki/เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต/) ทรงสร้างด้วยไม้  ต่อมารัฐบาลสยามได้ใช้เงินภาษีอากรที่เก็บขึ้นในจังหวัดจัดสร้างสะพานคอนกรีต  ใช้งานตั้งแต่ปี ๒๔๖๐  ชื่อสะพานรัษฎาภิเศก  ใช้ถึงปัจจุบัน  แต่การข้ามแม่น้ำตามปกติของเราจะใช้เส้นทางที่สั้นกว่า  คือ  เดินผ่านด้านข้างวัดปงสนุกเหนือ  ซึ่งครอบครัวทางสายแม่ไปทำบุญประจำ  เดินเลาะรั้วโรงเรียนราษฎร์มณีศึกษา (*คนรุ่นนั้นเรียกกันว่า "โรงเรียนครูเจ้าป้า"  ตามชื่อเจ้าของ*)   ไปถึงริมฝั่งก็จะมีพาหนะ  คือ

ฤดูน้ำยังมากอยู่  จะมีชาวบ้านต่อแพไม้ไผ่รับส่งคนข้ามฟากโดยถ่อแพ
ฤดูน้ำน้อยลง  เขาจะเปลี่ยนไปใช้เรือไม้ใช้ถ่อ  เพราะเรือลำเล็กจุผู้คนได้ไม่เกินสิบคน  บางครั้งผู้โดยสารต้องช่วยวิดน้ำที่ซึมเข้าพื้นเรือด้วย
ฤดูแล้งราวเมษายนเป็นต้นไป  เกินกว่าเรือแพจะถ่อได้  ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็ถลกกางเกงผ้าถุง หรือกระโปรงขึ้นเหนือเข่า  ก็ลุยน้ำข้ามไปได้  แต่นักเรียนและเด็กๆ อย่างผมต้องถอดกางเกงพาดไหล่จึงจะข้ามสะดวก  แต่เด็กนักเรียนหญิงย่อมไม่เหมาะที่จะข้ามตามวิธีนี้  จึงไปเดินข้ามทาง         สะพานรัษฎาภิเศก

        ดังนั้นจึงเป็นโอกาสให้ผู้มีใจเมตตา  ได้ออกเงินสร้างสะพานไม้ไผ่ปูพื้นด้วยไม้ไผ่ขัดแตะ  ชาวบ้านเรียกว่า "ขัวแตะ"  เผอิญเตี่ยแม่ของผมเป็นหนึ่งในหมู่ผู้ใจบุญ  ออกเงินทุนสร้างสะพานนี้ในราวปี ๒๔๙๐  วิธีสร้างง่ายๆ  โดยเตรียมการทำพื้นสะพานไว้ที่บ้านเราก่อน  อีกด้านหนึ่งมีคนไปปักเสาทำโครงทำคานไว้พร้อมแล้ว  จึงนำพื้นไม้ไผ่ขัดแตะทั้งหมดไปปูทอดต่อๆ กันจนเสร็จภายในวันเดียว

        รุ่งขึ้นเราก็ทำบุญอุทิศสะพานให้เป็นประโยชน์สาธารณะ  ใครใคร่ข้ามก็ข้ามตามสบาย  พอถึงฤดูน้ำหลากทั้งน้ำและท่อนซุงที่บรรดาพ่อค้าไม้ปล่อยล่องลอยตามน้ำมาก็กระแทกสะพาน "ขัวแตะ" จบสิ้นไปตามวัตรจักรฉะนี้  ปีหน้าก็มีผู้ใจบุญอาสาสร้างสะพาน "ขัวแตะ" เช่นนี้อีก  การสร้างสะพาน "ขัวแตะ" ครั้งนั้นจึงได้รับความนับถือจากผู้คน  โดยเฉพาะ "ครูเจ้าป้ามณีไชย" เจ้าของโรงเรียนราษฎร์มณีศึกษา  ซึ่งบรรดาครูผู้ปกครองและนักเรียนใช้ประโยชน์จากสะพานมาก

        "ครูเจ้าป้า"  จึงชักชวนให้แม่ส่งผมเข้าประเดิมชีวิตนักเรียนที่นี่เลย  ผมหัดอ่านเขียนอยู่ที่บ้านจนคล่องแคล่วแล้ว  พอเข้าเรียนก็ "ฉลุย"  จนครูให้ผมอ่านนำเพื่อนร่วมชั้น  ทำให้ผมมีความสำคัญจึงไม่กล้าซน  แต่เพื่อนที่นั่งอยู่ติดกับผมมันคงมีความสุขแม้อ่านตะกุกตะกัก  แต่ซนได้ตามสบาย  เผอิญบ่ายวันศุกร์  คุณครูออกจากห้องไปพักหนึ่ง  จึงเป็นโอกาสของเด็กธรรมดา แต่ซนไม่ธรรมดาเพราะขึ้นไปวิ่งไล่กันบนโต๊ะเสียงเจี๊ยวจ๊าวอึกทึก  ทำให้คุณครูพร้อมไม้เรียวในมือหวดซ้ายป่ายขวามาถึงโต๊ะที่ผมนั่งอมยิ้มในใจว่าเราทำดี  ก็ต้องอยู่รอดปลอดภัยล่ะนะ  "ไอ้นันต์" ที่นั่งอยู่ข้างผมนี่กระโดดเล่นบนโต๊ะต้องโดนแหงๆ  "เฟี้ยว  ขวับ!"  "แว้ก"  เสียงผมร้องไห้ลั่น  เพราะไม้เรียวหวดโดนไหล่ขวาของผม  ส่วนเพื่อนจอมซนมันไวยังกะลิง คือ หลบมุดใต้โต๊ะทันการณ์  ปลายไม้จึงฟาดผมอย่างแรงจนไม้ส่วนปลายหักกระเด็น  คุณครูก็ตกใจจึงรีบหายาหม่องมาทาและปลอบประโลมผมด้วย

        ผมร้องไห้ไม่หยุดไปจนถึงบ้าน  ก็ฟ้องผู้ปกครองและไม่ยอมกลับไปเรียนอีกเลย  แม้คุณครูผู้เฆี่ยนพลาดจะมาพบพ่อแม่ และให้คำมั่นว่าจะไม่ให้ผิดพลาดอีกก็ตาม  ผมจึงเปลี่ยนชีวิตมาเป็น "เด็กตลาด" เข้าเรียนที่โรงเรียนพินิจวิทยา ในอีกสัปดาห์ต่อมา

* _________________________*

        ผมแปลกใจที่ "น้าสนิท หรืออาวหนานนิด" น้องชายของแม่นั่งอยู่ในบ้าน  เพราะน้าสนิททำงานเป็นหัวหน้าคนงานที่โรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลไทย ที่อำเภอเกาะคา  ห่างจากตัวจังหวัดไปราว ๒๐ กิโลเมตร  แต่ปกติเราจะเห็น "อาวหนานนิด" เฉพาะในงานเทศกาล "ฟ้อนผี"  และประเพณีรดน้ำดำหัวสงกรานต์

        แม่บอกว่า "...อาวหนาน  มีข่าวดีมากมาบอกลูกน่ะ..."  น้าชายอธิบายว่าจะมาพาผมไปเป็นครูสอนที่โรงเรียนน้ำตาลอนุเคราะห์ อำเภอเกาะคา  เป็นโรงเรียนราษฎร์ที่ตั้งมาก่อนนับสิบปีแล้ว  ที่นั่นมีตำแหน่งครูว่างอยู่ ๑ อัตรา  เจาะจงให้รับเฉพาะผู้มีคุณวุฒิครูอย่างน้อยประโยคประถม หรือเทียบเท่า  เพื่อจะให้สืบแทนตำแหน่งครูใหญ่ซึ่งจะเกษียณในอีก ๒ ปีข้างหน้า

        น้าสนิทเล่าว่า  ครูใหญ่ซึ่งชอบพอกันบอกว่า  เปิดรับสมัครตั้งแต่ต้นปีจนผ่านมาหลายเดือน ยังไม่มีวี่แววว่า  ผู้มีคุณวุฒิดังต้องการจะมาสมัครแม้สักคนเดียว (*อ๋อ  ผู้มีคุณวุฒิครูก็ไปรับราชการก้าวหน้าและมั่นคงกว่าเยอะเลย*)  ดังนั้น  คณะกรรมการโรงเรียนจึงมีมติให้รับผู้เรียนจบชั้นเตรียมอุดมที่มีคะแนนดี  แล้วส่งเสริมให้สอบเทียบคุณวุฒิต่อไป

        "หลานเราเรียนเก่งนี่  ไปเถอะนะไม่ต้องห่วง  ไปพักกินอยู่ที่บ้านอาว  ถ้าหลานสอบเทียบได้ละก็  ตำแหน่งครูใหญ่ก็รออยู่แล้วล่ะ..."

        ผมไปกับน้าสนิท  ตอนเช้าน้าพาไปพบครูใหญ่ซึ่งดูสนิทกับน้าจริงๆ  พูดจาให้กำลังใจเหมือนดังที่น้าชายบอกผม  โดยเฉพาะเมื่อเห็นคะแนนสอบไล่ในใบสุทธิของผมแล้วก็ยกนิ้วซูฮก  จากนั้น  น้าชายก็พาผมไปพบผู้จัดการโรงเรียน  แต่กลับโอละพ่อ  เพราะบอกเราว่าจะรอผู้มีวุฒิครูที่เรียนจบ ป.กศ. มาสมัครในเร็วๆ นี้แหละ  ขอให้ผมรอสักสัปดาห์  ถ้าเขาไม่มาก็จะให้น้าชายไปตามหาผม  เท่ากับว่าแจก "แห้ว" ให้ผมกินพลางก่อน

        ผมกลับจากเกาะคาลงรถที่ดอนปาน  ค่อยเดินเรื่อยๆ ผ่านหน้าโบสถ์ และโรงเรียนอรุโณทัยซึ่งตั้งมาก่อนหลายปี  ผมเลี้ยวซ้ายเข้าซอยข้างโรงเรียนจนสุดรั้ว  ก็พบป้ายโรงเรียนอัสสัมชัญ ลำปาง  ที่ผมมุ่งหน้าสมัครเป็นครูนี่เอง   

        ประตูเปิดกว้างก็จริง  แต่ดูไม่สง่างามเพราะก่อนมาถึงประตูนี้  เป็นซอยลึกจากถนนใหญ่ราว ๑๐๐ เมตร  ด้านขวามือเป็นเรือนพักของคนงานในโรงเรียนและโบสถ์อรุโณทัย  ทำให้บีบรัดจำกัดทางเข้าสู่ประตูโรงเรียน  ผมเดินเข้าไปเห็นด้านในเป็นทุ่งกว้างโล่ง  ซึ่งผมไม่แปลกตาเพราะบริเวณที่ตั้งโรงเรียนนี้ในอดีตคือ "บึงน้ำหลังโรงแบ้งค์"  ที่เป็นแหล่งใหญ่ของปลากัดพันธุ์ดี  เรียกรู้กันว่า "ปลากัดลูกทุ่งหลังโรงแบ้งค์" (*คำว่า "โรงแบ้งค์" หมายถึงธนาคาไทยพาณิชย์ สาขาลำปาง  อันเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรก*)  เมื่อเรียนชั้นประถม  ผมกับเพื่อนมาช้อนหาปลากัดบ่อยๆ

         ผมเห็นอาคารไม้ ๒ ชั้น  รูปทรงตัว T  ด้านฐานหันออกมามีบันไดขึ้นซ้ายขวาสู่ชั้น ๒  ห้องธุรการอยู่ชั้นล่างขวา  แต่ประตูห้องปิดสนิทผมกวาดตามองรอบๆ เห็นชาย ๒ คนลงไปขุดโกยดินขึ้นจากท้องร่องข้างทางเดินถนนลูกรัง  คนหนึ่งแต่งชุดม่อฮ่อมสวมกุ้บ (งอบไทย)  อีกคนใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวกางเกงขาสั้นสีกากีซีดเก่าสวมงอบจีน  

        ผมเดินเข้าไปหา  โดยตั้งใจจะถามว่า  ผมจะสมัครเป็นครูจะทำอย่างไร?  แต่พอชายในท้องร่องหันมาหาผม  ผมตกตะลึงคาดไม่ถึงว่าโรงเรียนนี้จะยิ่งใหญ่ถึงขนาดจ้างฝรั่งเป็นคนงาน  นักการภารโรงถามผมว่า "จะสมัครครูใช่ไหมครับ?"  พอผมรับคำ  เขาก็หันหน้าไปทางฝรั่งพร้อมแนะนำว่า "นี่ท่านอธิการ"  ผมคารวะอย่างนอบน้อม

        อธิการฝรั่งร่างเตี้ยพอๆ กับคนไทย  แต่บุคลิกแข็งแรงว่องไว  ปีนจากร่องน้ำเดินนำผมไปกรอกใบสมัครทำงานโดยแนบเอกสาร และรูปถ่ายครบถ้วนแล้ว  ผมก็ส่งทั้งชุดให้ท่านรับไปอ่านพิจารณาสักครู่  ท่านก็เรียกนักบวชคนไทยมาสัมภาษณ์ผมสักพักใหญ่  ก็บอกว่า  "...คุณไม่ต้องไปสมัครงานที่อี่นอีกแล้วนะ  เราตกลงรับคุณเข้าเป็นมาสเตอร์... ที่นี่เราเรียกครูว่า มาสเตอร์  เรียกนักบวชอย่างเรานี่ว่า บราเดอร์   คุณมีเพื่อนที่ได้คะแนนดีๆ ต้องการทำงานอีกก็รีบบอกมาสมัครนะ  ยังมีตำแหน่งว่างอีก ๒-๓ ที่"

        ผมส่งโทรเลขถามวิศิษฐ์  แล้วแวะไปที่บ้านเขาเพื่อเล่าเรื่องราวให้พ่อแม่ของเขาฟัง  พลางบอกชูศักดิ์น้องชายของเขาให้เตรียมเอกสารต่างๆ ไว้ด้วย   รอประมาณ ๒ วัน  ผมได้รับคำตอบจากวิศิษฐ์ว่าอีก ๕ วันจะถึงบ้าน  วานผมไปจองคิวสมัครให้ก่อน  ผมนำเอกสารจากชูศักดิ์  แล้วเข้าไปที่โรงเรียนอัสสัมชัญลำปางอีกครั้งหนึ่ง

        ท่านอธิการ บราเดอร์ฝรั่งร่างเล็กแข็งแรงนั้น  ไม่อยู่ในห้องธุรการเช่นเคย  ท่านอยู่ในบึงที่แห้งหมาดๆ  สวมเสื้อยืดสีขาวคอกลม กางเกงขาสั้นสีกากีซีดๆ  สวมงอบจีน (*หรือ "กุยเล้ย" ชาวลำปางเรียกว่า "กุ้บเจ้ก"*)  บราเดอร์อธิการกำลังร่วมแรงกับภารโรงขุดท้องร่องระบายน้ำ โกยดินขึ้นถมพูนที่โคนต้นหางนกยูง  ที่เพิ่งปลูกตลอดสองข้างถนนจากประตูสู่หน้าอาคารเรียน  ผมเดินเข้าไปใกล้ พลางคารวะมากกว่าครั้งก่อน  ท่านคงจำผมได้  จึงก้าวขึ้นจากขอบบึง  ผมเรียนชี้แจงว่า มีเพื่อนอีกคนสนใจจะสมัคร  แต่เขาจะกลับจากกรุงเทพฯ อีก ๔-๕ วันข้างหน้า  ผมเกรงว่าจะล่าช้า  จึงมาขอรับใบสมัครไปจัดเตรียมการไว้ก่อน  เมื่อเขามาถึงลำปางก็จะยื่นสมัครได้รวดเร็วทันการณ์  อธิการจึงพาผมไปรับใบสมัครที่ห้องธุรการ

        เช้าวันจันทร์ต่อมา  วิศิษฐ์กับผมก็ไปยื่นสมัครครู  และคณะบราเดอร์ได้พิจารณาสัมภาษณ์นาน  โดยผมลุ้นอยู่นอกห้อง  ที่สุดวิศิษฐ์ก็ยิ้มออกมาให้ผมพลอยดีใจด้วย

        โรงเรียนเรียกประชุมคณะผู้สอน และผู้บริหารในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๐๒  มอบตารางสอนประจำตัว  กำหนดให้ผมเป็นครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๒ ก.  วิศิษฐ์ ประจำชั้น ม. ๒ ข.  เราได้รับแจกหนังสือทุกเรื่องที่นักเรียนต้องเรียน เว้นวิชาศิลปะ  พลศึกษา  และภาษาอังกฤษ   บราเดอร์เซราฟิน ชาวสเปน  เป็นอธิการบอกว่าโรงเรียนบรรจุให้ตั้งแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ขอให้ทุกคนมาเตรียมความพร้อมในห้องสอนก่อนเปิดเรียนจริงวันที่ ๑๗ เดือนนั้น

        "อาวหนานนิด"  น้าชายมาที่บ้านในเย็นนั้นบอกข่าวดี  ว่าทางผู้จัดการโรงเรียนที่อำเภอเกาะคา  ขอให้ผมรีบไปสมัคร  จะรับทันที (เพราะคนที่รอ "ไม่มาตามนัด?")  แต่สายเกินไป  เพราะเอกสารการขอบรรจุผมอยู่ที่สำนักงานศึกษาธิการฯ แล้วครับ

        ผมทั้งขอบคุณ และขออภัยน้าชายที่รักใคร่หวังดีแก่หลาน  แต่กลับเสียเวลาแท้ๆ