ก่อนเริ่มการสอน มีขั้นตอนสำคัญคือกำหนดให้วิศิษฐ์และผมสอนวิชาอะไรกันบ้าง บราเดอร์ ฟิลิป (อำนวย ปิ่นรัตน์) ครูใหญ่บอกให้เราเขียนชื่อรายวิชาตามลำดับความถนัดในการสอน เสนอให้ท่านพิจารณาจัด "ตารางสอน" ให้อย่างเหมาะสมลงตัว ตารางสอนจึงกำหนดให้วิศิษฐ์สอนวิชาบัญชี เรขาคณิต วิทยาศาสตร์ตามถนัด ส่วนผมสอนเลขคณิต ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ภาษาไทย ฯลฯ ใครสอนวิชาเหล่านี้ต้องสอนทั้งมัธยมปีที่ ๒ก. และ ๒ข. เว้นแต่วิชาภาษาอังกฤษ บราเดอร์(ภราดา)สอน วิชาศิลปะและพลศึกษา มีมาสเตอร์(ครู)สอนต่างหาก
นอกจากนี้ วิชาหน้าที่พลเมืองและศีลธรรมสัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง ท่านอธิการรับสอนเอง ส่วนวิชาสุขศึกษาให้วิศิษฐ์และผมต่างคนต่างสอนห้องประจำของตนเอง เพื่อให้จำนวนชั่วโมงสอนครบวิชาและรับภาระเท่ากัน วิศิษฐ์และผมต่างอ่านหนังสือเรียนวิชาต่างๆ ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด และจัดพิมพ์ให้ใช้ในการเรียนการสอนแล้ว เรารู้สึกสบายใจเพราะหนังสือเรียนไม่เปลี่ยนไปจากสมัยที่เราเคยเรียนเมื่อ ๕-๖ ปีก่อนหน้านั้น เพราะเราเรียนเก่ง เคยสอบเข้าเรียนมัธยมได้ที่ ๑ ของจังหวัด โดยวิศิษฐ์ทำได้ในปีการศึกษา ๒๔๙๔ ผมทำได้ในปีถัดมา อีกทั้งรักษาระดับการเรียนอยู่อันดับต้นๆ ตลอดมา
เราจึงเชื่อมั่นว่าจะต้องสอนหนังสือได้อย่างชัดเจน ถูกต้องแม่นยำแน่นอน
แต่ที่เรากังวลเหมือนกันคือ เราจะเริ่มพูดว่าอย่างไรในวินาทีแรกของการเป็น "ครูประจำชั้น" จึงจะสร้างศรัทธาให้นักเรียนได้ เรายังมีเวลาเตรียมตัวอีกหลายวัน จึงตระเวนไปเรียนขอความรู้คำแนะนำจากครูอาจารย์ที่เคยสอนเราที่โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย
คุณครูสัมฤทธิ์ มุสิกสวัสดิ์ ขณะนั้น ท่านเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนบุญวาทย์ฯ เคยเป็นครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๑ ก. ตอนที่เราเรียนด้วย บ้านพักครูสัมฤทธิ์ อยู่ในบริเวณด้านข้างของโรงเรียน ติดกำแพงท้ายของวัดซิกข์(นามธารี) คุณครูมีประสบการณ์สูงมาก เริ่มเป็นครูน้อยธรรมดาที่โรงเรียนธาตุพนม จังหวัดนครพนม ครั้นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ กองทัพญี่ปุ่นยึดอินโดจีนของฝรั่งเศสได้ จึงคืนดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (ปัจจุบันคือ แขวงสวันนะเขต) ซึ่งเคยเป็นของไทย แต่ถูกบีบคั้นเอาไปในปลายรัชกาลที่ ๕ นั้นให้ไทยกลับเข้าปกครอง
คุณครูสัมฤทธิ์ได้เลื่อนเป็นครูใหญ่ ไปประจำโรงเรียนในดินแดนที่กลับมาขึ้นต่อสยาม ครั้นสงครามยุติโดยญี่ปุ่นแพ้ใน ๔ ปีต่อมา สยามต้องคืนทุกสิ่งแก่ฝรั่งเศส รวมทั้งตำแหน่งครูใหญ่ของครูสัมฤทธิ์ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น อัตราครูน้อยที่ธาตุพนมหรือ แม้แต่ดินแดนอีสานบ้านเกิดก็ไม่มีให้ย้ายมาลงได้ ครูสัมฤทธิ์จึงระเห็จไกลมาสอนที่โรงเรียนบุญวาทย์ฯ ลำปาง ตั้งแต่นั้นมา (*จนเกษียณ และถึงแก่กรรมเมื่ออายุ ๙๐ ปี)
พอผมถามท่านว่า ครูประจำชั้นควรพูดอย่างไรในนาทีแรกที่เข้าสอนห้องที่ตัวเองเป็นครูประจำชั้น?? ปกติ คุณครูตีหน้าตายยอดเยี่ยม แม้แต่พูดตลกๆ ก็หน้าตาย พอฟังคำถามโง่ๆ ของผม หน้าท่านตายสนิท คือ แบบว่า "อึ้งทึ่ง" พักใหญ่ ก่อนจะหัวเราะและกล่าวว่า "เออนะ ครูจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรในวาระแรกพบในการเป็นครูประจำชั้น แต่...ไม่รู้นะ ครั้งนั้น ครูสอนเด็กบ้านนอกและสมัยก่อนสงครามโลกด้วย พวกครูรุ่นเก่าเขาแนะนำว่า... อย่าทำใจดีให้นักเรียนเหลิงจนคุมเด็กไม่อยู่ก็แล้วกัน! ครูจึงต้องตีหน้าตายเพื่อ... ตัดไม้ข่มนาม... เอาไว้ก่อนไง"
เราออกจากบ้านคุณครูสัมฤทธิ์ โดยมีเสียงวิศิษฐ์ปรารภให้ผมได้ยิน "...อั๊วทำอย่างครูสัมฤทธิ์ไม่ได้หรอก ท่านมีความสามารถพิเศษคือ ตีหน้าตายได้ทั้งเวลาดุๆ และตลกๆ จนพวกนักเรียนวายร้ายกลัว ไม่กล้าออกฤทธิ์..." ถูกของวิศิษฐ์ เพราะคนที่ซาบซึ้งดีที่สุดคนหนึ่งในบรรดาศิษย์ทั้งหลายของท่าน ก็คือ ผม...นายศุภกิจ นี่เอง เมื่อตอนท่านสอนประจำชั้น ม. ๑ ก. ท่านเคยใช้ไม้เรียวหวดก้นผมที่หน้าห้องด้วยข้อหา "สั่งให้เพื่อนนักเรียนชกกัน"
ทั้งนี้ "นักมวย" ถูกอาจารย์ใหญ่สั่งลงโทษตีก้นต่อหน้าที่ประชุมนักเรียนหน้าเสาธง ซึ่งนักเรียนทุกห้องต้องมาเข้าแถวทุกเช้า เพื่อเคารพธงชาติก่อนแยกแถวเดินไปเข้าห้องเรียน บางครั้ง อาจารย์ใหญ่ หรือไม่ก็อาจารย์ฝ่ายปกครอง จะมาแจ้งข่าวดีหรือข่าวร้าย ข่าวดีมีหลากหลายเรื่อง แต่ข่าวร้ายมักเป็นเรื่องการลงโทษนักเรียน ผมเคยรับแต่ข่าวดีที่หน้าเสาธงในฐานะนักเรียนเก่ง แต่ที่ถูกคุณครูสัมฤทธิ์ตีก้นครั้งนั้น เพราะผมถูกเลือกจากเพื่อนคู่พิพาทให้เป็น "กรรมการ ห้ามมวย" โดยผมจะออกคำสั่งได้เพียง ๓ คำเท่านั้น คือ "หยุด แยก ชก"
คุณครูสัมฤทธิ์ จึงใช้อำนาจของครูประจำชั้น กล่าวโทษว่าถ้าผมไม่สั่งให้ "ชก" ละก็ เพื่อนที่พิพาทก็ไม่ชกกัน จึงลงทัณฑ์ผมด้วย (*รายละเอียดอยู่ในหนังสือเรื่อง "ครูในดวงใจ") เรารับกรรมวิธี "ตัดไม้ข่มนาม" จากต้นแบบของคุณครูไปใช้ไม่ได้ จึงแวะไปหาคุณครูเฉลิม ศรีสว่าง ซึ่งมีบ้านพักอยู่ด้านหลังโรงเรียน ท่านเคยสอนพวกเราตั้งแต่มัธยมปีที่ ๔ จนถึงมัธยมปีที่ ๖ สอนเก่ง เสียงดัง กระฉับกระเฉง สมกับเป็นครูที่ได้รับทุนไปเรียนจบจากสถาบันครูในกรุงเทพฯ
คุณครูโปรดปรานนักเรียนเก่ง คงจะเป็นภาพสะท้อนของตัวท่านเอง เวลาสอนจริงจังมาก และกล่าวชมศิษย์ที่ตั้งใจเรียน หรือตอบถูกว่า "เก่งมากๆ" ไม่จำกัดคำชม ดังนั้น พอเราโผล่หน้าเข้าบ้าน ท่านร้องทักว่า "โอ้โฮ...ครูละอ่อนอยากรู้ว่าจะสอนยังไงสิ...?" ท่านมีเมตตาต่อผมมากจึงแกล้งแซวพลางหัวเราะคิกๆ
แต่พอฟังเราถามว่า ครูประจำชั้นมือใหม่ควรจะเริ่มพูดจาอย่างไรในวาระแรกที่เข้าไปพบนักเรียนที่ตนประจำชั้น จึงจะทำให้นักเรียนลูกศิษย์เกิดศรัทธาประทับใจ? คุณครูเฉลิม ศรีสว่าง ก็ชะงักกึก เลิกคิ้วสูงและร้องว่า "...เออแน่ะ ครูเกือบลืมไปแล้วนะ พอเธอถามจึงระลึกได้ว่า ตอนครูเรียนจบกลับมาประจำที่นี่ อาจารย์โชติ สุวรรณชิน อาจารย์ใหญ่ท่านให้ครูสอนคณิต-วิทย์ ม. ๔ ถึง ม. ๖ ทุกห้อง ท่านว่าอย่าเสียเวลาไปเป็นครูประจำชั้น ต้องทำงานธุรการทุกอย่าง ให้ครูเก่าทำก็ได้ เพราะครูอื่นๆ ไม่ได้เรียนคณิตวิทย์ ครูเฉลิมสอนดีกว่า"
โรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัด ย่อมมีความพร้อมด้านเงินงบประมาณ และบุคลากร แม้โรงเรียนราษฎร์ระดับอัสสัมชัญ ลำปาง เมื่อแรกตั้งในปีการศึกษา ๒๕๐๒ นั้น มีบราเดอร์(ภราดา) ๔ องค์ มาสเตอร์(ครู) ๑๐ คน มีห้องเรียน ๑๑ ห้อง ผู้ไม่ประจำชั้นคือ บราเดอร์เซราฟิน เป็นอธิการ
บราเดอร์สมทัย ทรัพย์เย็น สอนวิชาภาษาอังกฤษ ทุกชั้นมัธยมต้น
มาสเตอร์วินัย ประภาจาย สอนพลศึกษาและศิลปะ(ฉลุไม้อัด) แก้ขัดให้ครบชั่วโมงสอน
นอกนั้น ๑๑ คนต้องสอนและเป็นครูประจำชั้น คือ
บราเดอร์ฟิลิป(อำนวย ปิ่นรัตน์) เป็นทั้งครูใหญ่ และครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๖
บราเดอร์โยธิน ศันสนยุทธ เป็นครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๕
มาสเตอร์บุญสม บุณยสมภพ เป็นครูประจำชั้น มัธยมปีที่ ๔
มาสเตอร์บุญชู เทพราช เคยสอนที่โรงเรียนเคนเน็ธแมคเคนซี่ มาราว ๒๐ ปี เป็นครู
ประจำชั้นมัธยมปีที่ ๓ ชั้นประโยคที่ต้องส่งนักเรียนเข้าสอบไล่
ที่โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยของกระทรวงศึกษาธิการ
ส่วนผมก็ประจำชั้นมัธยมปีที่ ๒ ก. วิศิษฐ์ สมพงษ์ ประจำชั้นมัธยมปีที่ ๒ ข.
มาสเตอร์ทองใบ ผิวเกลี้ยง เป็นครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๑ ก.
มาสเตอร์สิงห์ทอง สุภินนพงศ์ (คำอ้าย O.K.) เป็นครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๑ ข.
มาสเตอร์หลาน ฤาชัย เป็นครูประจำชั้นมัธยมปีที่ ๑ ค.
มาสเตอร์สุทัศน์ มาทิพย์ เป็นครูประจำชั้นประถมปีที่ ๔ ก.
มาสเตอร์บุญฤทธิ์ ขัติเชียงราย เป็นครูประจำชั้นประถมปีที่ ๔ ข.
ในที่สุดก็ถึงวันเปิดเทอมแรกของปีการศึกษา วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๐๒
วิศิษฐ์กับผมเป็น "คู่หู" ที่สนิทกันมาก เพราะมีวิถีชีวิตร่วมสายทางกันคือ เรียนชั้นประถมในโรงเรียนเดียวกัน แต่วิศิษฐ์ รุ่นก่อน ๑ ปี และสอบเข้าโรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยได้เป็นที่ ๑ ของจังหวัดเช่นเดียวกัน และผมสอบ "พาสส์ชั้น" ขึ้นไปเรียนห้องเรียนเดียวกันตั้งแต่ชั้น ม. ๕ จนจบชั้น ม. ๘ (เตรียมอุดมศึกษาแผนกวิทย์ฯ)
เราไปถึงโรงเรียนราว ๗ โมง เข้าห้องธุรการไปลงชื่อทำงาน อธิการบราเดอร์เซราฟิน กวักมือเรียกเราเข้าไปหา และสั่งว่า "มาสเตอร์ ทั้งสองคุมแถวไปเพียงหน้าห้องให้นักเรียนเข้าไปให้หมด แต่มาสเตอร์อย่าเพิ่งเข้าไป ให้รอบราเดอร์ก่อนนะ..." "ครับผม!" เรารับคำด้วยยินดี
เมื่อนักเรียนเข้านั่งเงียบอยู่ในห้องแล้ว บราเดอร์อธิการเซราฟิน ก็เดินนำผมเข้าไปในห้อง ท่านใช้เวลาเพียงนาทีเดียว แนะนำตัวผมอย่างดีเกินคาด โดยเฉพาะก่อนออกจากห้องท่านกำชับผมว่า "...ถ้านักเรียนคนไหนดื้อรั้นเกเรมาก มาสเตอร์อย่าตีเขา ให้เอาตัวส่งไปให้บราเดอร์จัดการให้นะ..." "ครับผม"
ภราดาเซราฟิน |
นี่ไงครับ "ตัดไม้ข่มนาม" นะนี่ เพราะภายหลังผมจึงรู้ว่านักเรียนเข็ดเขี้ยว การถูกบราเดอร์เซราฟินตีก้นด้วยไม้ท่อนยาว ราว ๑ ฟุต เป็นไม้เนื้อแข็งกว้างเท่าไม้บรรทัด หนาราว ๑ เซนติเมตร ให้ผู้จะถูกตีนั่งคุกเข่าให้บราเดอร์หวดตรงโหนกก้นเสียงดังเบาๆ "ปุ๊ ปุ๊..." ไม่น่าหวาดเสียวเหมือนเสียงดัง "เฟี้ยว...ขวับ! เฟี้ยว...ขวับ...ฯลฯ" ดังเช่นที่เราเคยเห็นครูในโรงเรียนอื่นๆ หวดด้วยไม้เรียว
ในที่สุดวาระที่เรากังวลก็ผ่านไปได้ง่ายดายด้วยบารมีและความเมตตาของท่านอธิการบราเดอร์เซราฟิน ที่อุทิศชีวิตเดินทางมาจากสเปญ ตั้งแต่อายุ ๒๒ ปี มาเป็นครูสอนเด็กไทยมาหลายสิบปี ย่อมหยั่งรู้ว่า "ครูละอ่อน" คือผมอายุ ๑๙ ปี วิศิษฐ์แก่กว่าหนึ่งปี น่าจะกังวลใจเรื่องอะไร จึงช่วยแก้ปัญหาให้อย่างยอดเยี่ยม เป็นผลให้การสอนของเราเป็นไปอย่างดียิ่ง