Monday, October 9, 2017

How to restore Thai rice export

ฟื้นศักยภาพข้าวไทยอย่างไร  
จึงจะคืนกลับอันดับหนึ่งผู้ส่งออกข้าวโลกได้?

        ประเทศไทยใช้เวลาหลายสิบปีกว่าที่จะค่อยๆ พัฒนาระบบการค้าข้าว  จนมีศักยภาพสูงสุดคือ เป็นผู้ส่งออกข้าวออกเป็นอันดับหนึ่งของโลก  ทั้งด้านปริมาณและมูลค่า  เราทำสำเร็จมาหลายปีต่อเนื่อง ทั้งนี้เพราะผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและการค้าข้าวของไทยในอดีต  ต่างก็มีความตั้งใจส่งเสริมและพัฒนาระบบการผลิตข้าวให้ชาวนาผลิตข้าวเปลือกที่มีคุณภาพ/ เกรดสูง  เพิ่มปริมาณผลผลิต  ส่วนการแปรรูปข้าวหรือการสีข้าวนั้น  ผู้ประกอบการสีข้าวไทยพัฒนาอยู่ในอันดับยอด  เพราะมีการแข่งขันกันอย่างเสรี

        ผลผลิตที่เพิ่มปริมาณและคุณภาพข้าวไทย  เป็นที่ยอมรับนับถือในตลาดโลกทำให้  "ข้าวไทย" มีศักดิ์ศรีสูงจึงสามารถกำหนดราคาขายส่งออกได้สูงกว่าข้าวของประเทศอื่นๆ 20-30 US$/ ตัน

        ผู้ค้าข้าวส่งออกของไทยมีจำนวนสิบกว่าบริษัทเมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อน  ได้เพิ่มเป็นกว่า ๕๐ บริษัทในปัจจุบัน  ผู้ค้าส่งออกเหล่านี้ต้องแข่งขันกันเองทั้งการค้าภายใน  และแข่งกับผู้ค้าของประเทศอื่นๆ ที่ส่งออกข้าวมากกว่า ๓ ล้านตัน/ ปี คือ อินเดีย  เวียดนาม  สหรัฐอเมริกา  และปากีสถาน  ในขณะที่ไทยเคยส่งออกสูงถึง ๑๐.๖๙ ล้านตัน  ผู้ค้าข้าวส่งออกของไทยได้เพิ่มตลาดส่งออก  ซึ่งเดิมมีเฉพาะทวีปเอเซียและอาฟริกา  ขยายไปทุกทวีปโดยเฉพาะ "ตลาดบน"  หรือผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงในยุโรปและสหรัฐฯ  ซึ่งต้องการข้าว "ปลอดสารพิษ"  โดยไม่เกี่ยงราคา  ชาวนาที่มีศักยภาพของไทยลงทุนผลิตมาหลายปีแล้ว  แต่ต้องสะดุดลงในช่วงรัฐบาล  "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"  ด้วยนโยบาย/ โครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด  ทำให้ชาวนาไม่มีแรงจูงใจที่จะผลิตข้าวคุณภาพสูง  ซึ่งต้องใช้ความมานะอดทนกว่าการปลูกข้าวคุณภาพต่ำ

        โครงการรับจำนำข้าว  นับเป็นแผนอาชญากรรมระดับโลกที่สร้างความวิบัติให้แก่ระบบการผลิตการค้าข้าวทุกระดับของประเทศไทย  ทั้งยังใช้เงินหลวงคือ ภาษีของชาติกว่า ๔๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาทไป "ละลาย"/ขาดทุนในช่วง ๒ ปีเศษ  ผลร้ายที่สังคมโลกรับรู้คือ

  1. ชาวนาไทยกว่าล้านครอบครัวไม่ได้รับเงินค่าข้าว  จากการจำนำข้าวให้รัฐบาลนานครึ่งปีแล้ว  ชาวนาเดือดร้อนแสนสาหัส  เพราะไม่มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน  จึงฆ่าตัวตายและเครียดตายไปนับสิบคนแล้ว
  2. รัฐบาลเป็นหนี้ชาวนาเป็นเงินมากถึง ๑๓๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท  จนเจ้าหนี้ต้องยกขบวนกันออกมาทวงหนี้ที่หน้ากระทรวงพาณิชย์  และฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้บริหารโครงการฯ
  3. มีเพียงนักการเมือง + ข้าราชการ + พ่อค้าไม่กี่คน  ที่ร่วมขบวนการทุจริต "เล่นกล" หรือยักย้ายถ่ายเทเอาเงินหลวงไปเป็นประโยชนในหมู่ผู้ร่วมทุจริต
  4. ข้าวสารที่รัฐบาลซื้อ(ส่งเดช) จึงเหลือค้างสต๊อกอยู่ในโกดัง(เช่า)ทั่วประเทศมากกว่า ๑๔-๑๘,๐๐๐,๐๐๐ ตัน(ไม่มีใครรู้ว่าปริมาณที่แท้จริงเป็นเท่าใดแน่)  ธนาคารโลกกังวลว่ารัฐบาล(ในอนาคต)เทขายข้าวทุ่มออกไป  จะทำให้ "ตลาดข้าวโลก" พังทลายเสียหายไปทั่วโลก ผลร้ายจะเกิดแก่ชาวนาทุกประเทศ
  5. แต่บาปกรรม หรือผลร้ายทั้งหลายนี้จะท่วมทับชาวนาไทยอย่างหนักหนาสาหัสที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย  ชาวนาไทย(ก่อนยุค "ยิ่งลักษณ์") เคยเป็นชาวนาที่มีศักยภาพในการผลิตข้าวดีที่สุดของโลก  กลับกลายเป็นชาวนาที่ถูกปัญหาสารพันรุมเร้า  อันเกิดจากต้นเหตุคือ การทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
  6. ถ้ารัฐบาลต่อไปไม่ทุ่มเทแก้ไขเยียวยาให้ชาวนาไทย  ฟื้นฟูศักยภาพการผลิตข้าวกลับคืนมาทันการณ์  อวสานของชาวนาไทยก็จะมาถึงภายใน ๒-๓ ปี  เพราะชาวนาจำเป็นต้องทิ้งอาชีพทำนาไปแสวงหาอาชีพอื่นๆ โดยส่วนหนึ่งก็จำเป็นขายที่ทำกินเพื่อใช้หนี้  และหาทุนไปทำอาชีพอื่นตามยถากรรม
  7. ความจริงชาวนา ๘๐% ในภาคอีสานต้องออกจากท้องนาที่มีน้ำทำนาได้เพียงปีละครั้ง  รายได้ไม่พอใช้จ่ายในครอบครัว  ชาวนาเหล่านี้มาเป็นโชเฟอร์ขับแท็กซี่รับจ้าง  และขายแรงงานไปทั่วประเทศกับต่างประเทศ
        Below are the 15 countries that exported the highest dollar value worth of rice during 2016:
  1. India: US$5.3 billion (26.7% of total rice exports)
  2. Thailand: $4.4 billion (21.9%)
  3. United States: $1.9 billion (9.6%)
  4. Pakistan: $1.7 billion (8.5%)
  5. Vietnam: $1.6 billion (8%)
  6. Italy: $565.0 million (2.8%)
  7. Myanmar (Burma): $438.9 million (2.2%)
  8. Uruguay: $413.8 million (2.1%)
  9. China: $378.8 million (1.9%)
  10. Cambodia: $305.9 million (1.5%)
  11. Brazil: $251.9 million (1.3%)
  12. Belgium: $241.8 million (1.2%)
  13. Argentina: $212.5 million (1.1%)
  14. Paraguay: $196 million (1%)
  15. Guyana: $169 million (0.8%)
The listed 15 countries shipped 90.6% of all rice exports in 2016 (by value).
        ดังนั้น  "วิกฤตการณ์ที่เลวร้าย" ครั้งนี้  ควรอย่างยิ่งที่รัฐบาลสุจริต และมีวิสัยทัศน์ดี  จะรีบพลิกให้เกิดเป็น "โอกาส" ในการฟื้นฟูพัฒนาอาชีพการทำนาไทยให้กลับมาดีกว่าเดิม  ที่เราเคยทำได้ดีที่สุดของโลกมาแล้ว

        ทำได้อย่างไร?!   คำตอบอยู่ที่  ต้องมีรัฐบาลสุจริต  ดำเนินการโดยเชิญผู้มีความรู้  ความสามารถ  จากภาคส่วนต่างๆ มาระดมความคิดและดำเนินการในลักษณะเป็น "วาระแห่งชาติ" ทุกองค์การต้องช่วยสนับสนุนชาวนา

        ผู้เขียนไม่ใช่นักวิชาการ  หรือผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญเรื่องข้าว  แต่ด้วยความสำนึกในความเป็น "ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"  แม้จะเกษียณสิบกว่าปีแล้ว  ก็ยังนึกบุญคุณของภาษีอากรที่ราษฎรจ่ายให้เป็นบำนาญเลี้ยงชีพ  จึงขออนุญาตเสนอแนวคิด หรือแนวทาง  เพื่อให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ในแผ่นดิน  พิจารณาเลือก หรือปรับใช้ในการ "ฟื้นศักยภาพข้าวไทย ให้คืนกลับสู่อันดับหนึ่งของผู้ส่งออกข้าวของโลกได้อีก

        โครงการ/ แผนงานต่างๆ ที่เสนอต่อไปนี้  อาจแยกกันไปทำแต่นำมาสู่จุดร่วมเดียวกันคือ "ฟื้นศักยภาพข้าวไทย" ดังต่อไปนี้

  • ใช้หนี้ค่าข้าวที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" รับจำนำไว้ให้รวดเร็วและทันการณ์  เพื่อที่จะให้ชาวนามีทุนไปปลูกข้าวได้ทั่วประเทศ  ชาวนา(เหล่านี้) ทุกรายจะได้รับชำระเงินโดยเฉลี่ยพร้อมกันทุกงวด กล่าวคือ
       เมื่อรัฐบาลได้เงินมาก้อนหนึ่ง(จะโดยวิธีใดก็แล้วแต่) ให้เฉลี่ยชำระหนี้ไปทุกจังหวัดทุกคนตามอัตราร้อยละของหนี้

        ห้ามจัดตามลำดับจังหวัด  ลำดับชื่อ ซึ่งจะทำให้เกิดการเลือกปฏิบัติลำเอียง

        สมมุติ : ชาวนา ๑ ล้านคน  เป็นเจ้าหนี้รัฐบาล ๑๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท  ถ้ารัฐบาลหาเงินมาจ่าย(งวดนี้) ได้ ๑๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท คือ ๑๐%  ของหนี้ทั้งหมด  รัฐบาลต้องจ่ายหนี้ให้ชาวนา ๑๐% ของ(ยอดหนี้) ชาวนาแต่ละคน  เช่น  คนที่มีสิทธิ์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ก็จะได้รับชำระ ๑๐,๐๐๐ บาทเท่ากันทุกคน ทุกจังหวัด

        ใครเป็นเจ้าหนี้ ๒๐๐,๐๐๐ บาท  ไม่ว่าอยู่จังหวัด/ อำเภอ/ ตำบลใด  ก็จะได้รับชำระหนี้ ๒๐,๐๐๐ บาท เท่ากันทุกราย  จัดวิธีชำระหนี้ในลักษณะนี้พร้อมดอกเบี้ย  ตามลำดับไปจนกว่าจะครบทุกรายทุกบาท
  • เงินใช้หนี้จะมาจากไหน  อย่างไร  รัฐบาล(ถาวร) ที่ไม่ใช่ "รักษาการ" ย่อมมีความชอบธรรม  ตามกฏหมายที่จะแสวงหาเงินชำระหนี้ได้
        แหล่งหาเงินโดยหลักการก็ต้องขาย "ข้าวค้างสต๊อก" แต่การขายข้าวนี้ต้องระวังให้มากกว่าจะไม่ไป "ดึงราคา"  การซื้อขายข้าวในฤดูใหม่ให้ "ดิ่งเหว" ลงไปด้วยกัน  ดังนั้น  รัฐบาลใหม่ซึ่งมีอำนาจเต็ม  จึงต้องเร่งหาเงินจากแหล่งอื่นทดรองจ่ายชาวนาให้เร็วที่สุดก่อน  แล้วจึงนำเงินจากการขาย "ข้าวค้างสต๊อก" ไปคืนให้  ซึ่งผู้รู้เรื่องตลาดข้าวประมาณว่าจะใช้เวลาอย่างเร็ว ๒ ปี  จึงจะขายข้าวนี้หมดสต๊อก
  • อนึ่ง  ตามปกติเงินที่เหลือจากการขายข้าวไปใช้หนี้  ต้องส่งคืน(หลวง) เข้าคลัง  แต่เฉพาะกรณีนี้ให้ขออนุมัติกันเงินที่เหลือไว้ใช้ในการฟื้นศักยภาพชาวนาไทย  ถ้ายังไม่พอ  รัฐบาลต้องจัดสรรเพิ่มให้เพียงพอต่อเนื่องจนจบโครงการฯ  คือการส่งออกข้าวไทยกลับขึ้นสู่อันดับหนึ่งของโลก
       นักวิชาการ  ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร  และเศรษฐกิจการเกษตรของประเทศไทย  มีมากเป็นร้อยคน และหลายสิบคนเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวง และทุนรัฐบาล  ท่านเหล่านี้รักประเทศชาติ และประชาชน  ดังนั้นรัฐบาล/ นักการเมืองที่ทุจริตจึงไม่ต้องการใช้คนดีมีวิชาความรู้

        ดังนั้น  เมื่อมีรัฐบาลที่สุจริตเกิดขึ้น  ก็เชิญ หรือแต่งตั้งท่านเหล่านั้นมาร่วมกันคิด ช่วยกันทำให้ชาวนาไทยกลับคืนสู่ชาวนาที่มีศักยภาพสูงสุดของโลก  ซึ่งผู้เขียนขออนุญาตเสนอแนวทาง/ นโยบายทำนองเป็น "ตุ๊กตา" ให้ท่านผู้รู้ผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการได้พิจารณาต่อไป  ดังนี้

ก.   นโยบาย ๓ สูง  คือ
  1.    คุณภาพข้าวเปลือก/ ข้าวสารต้องสูง  โดยพัฒนาพันธุ์ข้าวดีๆ มาใช้ให้มาก
  2.    ผลผลิตต่อไร่ต้องเพิ่มสูงขึ้น
  3.    รายได้ของชาวนาโดยรวมต้องสูงกว่าเดิม และมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
        กรรมวิธีดำเนินการ หรือรายละเอียดจะทำอย่างไร  โปรดมอบหมายให้คณะนักวิชาการ/ ท่านผู้รู้ด้านการเกษตร  ระดมสมองกันคิดโดยรัฐบาลสนับสนุนอย่างจริงจังต่อเนื่อง

ข.   นโยบาย ๕ ต่ำ  คือ

        ลดต้นทุนการผลิตข้าวต่อไร่ให้ต่ำลงๆ ยิ่งขึ้น  การจะลดต้นทุนการผลิตข้าวลง  แต่สวนทางกับเร่งคุณภาพข้าวให้สูงขึ้น  จึงต้องใช้ความมานะพยายาม และเค้นสมองช่วยกันคิดจึงจะสำเร็จได้เช่น
   
1.     ลดอัตราดอกเบี้ย :  ชาวนาต้องได้มีโอกาสได้รับสินเชื่อเพื่อการผลิตข้าว  จากสถาบันการเงินของรัฐ  ในอัตราดอกเบี้ยต่ำและมีปริมาณเงินเพียงพอ/ มากพอที่จะไม่ต้องให้ชาวนาไปกู้เงินนอกระบบในอัตราดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ
2.     รัฐบาลต้องก่อตั้งองค์กรส่งเสริมการผลิต "ปุ๋ยอินทรีย์" ขึ้นทุกจังหวัด  และให้มีแรงจูงใจเพื่อชาวนาจะหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์(ที่อาจผลิตใช้เองได้)

        เมื่อสอนให้ชาวนาผลิตปุ๋ยอินทรีย์ใช้เองได้  นอกจากลดต้นทุนการผลิตแล้ว  ยังเป็นปัจจัยหนึ่งของการผลิต "ข้าวปลอดสารพิษ" ซึ่งมี "ตลาดบน" รองรับซื้อในราคาสูงกว่าปกติมาก

3.     ลด-ละ-เลิก  การใช้ยาเคมีกำจัดศัตรูข้าวในนา  กลับฟื้น "ภูมิปัญญา" บรรพบุรุษของชาวไทยเมื่อ ๖๐-๗๐ ปีก่อนไม่เคยใช้ยาฆ่าหญ้า  ยาฆ่าแมลง  ยาฆ่าปูนา ฯลฯ  แต่ปลูกข้าวได้ผลดีเป็นที่เชื่อถือในตลาดโลกนั้น  ท่านทำอย่างไร?

        เรื่องเหล่านี้ไม่เกินความสามารถ/ สติปัญญาของกรมการข้าวและกรมวิชาการเกษตร  แต่ที่สำคัญคือ ต้อง "ขจัดนิสัยมักง่าย" ออกจากใจของผู้ปลูกข้าวก่อน  เพราะการกำจัดสัตรูข้าว/ พืช ด้วยวิถีธรรมชาติ  ต้องใช้ความมานะอดทน  เช่น  การใช้แมลงห้ำ/ แมลงเบียน  เพื่อกำจัดสัตรูพืช  ก็ต้องศึกษาจนเข้าใจ  และอดทนเพาะพันธุ์  ขยายจำนวนแมลงชนิดดังกล่าวให้พอใช้

4.     ลดค่าเช่านา/ ควบคุมค่าเช่านา  ซึ่งจะทำสำเร็จได้จริง  รัฐบาลต้องจัดสรรเงินก้อนใหญ่ต่อเนื่องไปจัดซื้อ "ที่ดิน/ ทำนา"  ไว้ทั่วทุกจังหวัด  ซื้อต่อเนื่องทุกปีๆ  จนกว่าจะไม่มีผู้ใดขายที่ดินทำนาให้อีก

        ที่ดินทั้งหมดเป็นแหล่งผลิตข้าวของประเทศ  แต่ให้ชาวนาเช่าทำนา  ในอัตราค่าเช่าเป็นร้อยละของผลผลิต  ดังนี้  ถ้าราคาขายสูงก็จ่ายค่าเช่าสูง  และถ้าราคาข้าวตกต่ำ  ก็จ่ายค่าเช่าน้อยลง  ถ้าข้าวเสียหาย(หมด) ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่า

       ถ้ารัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ดำเนินการตามเสนอนี้  เงินจำนำข้าว ๕๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ก็พอซื้อที่นาได้ ๕ ล้านไร่  พอเพียงที่จะช่วยชาวนาจนๆ ทั่วประเทศให้หายจนได้ราวล้านครอบครัว  เพียงแต่...ไม่มีช่องทางทุจริต

5.     ลดค่าแรงงานในการผลิต  โดยค่อยๆ เปลี่ยนวิธีไถนา กลับไปใช้แรงควาย  ตามที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงตั้งโรงเรียนฝึกชาวนาและควายไถนา

        แต่.....กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  แทบจะไม่สนใจเลย

ดังนั้น  รัฐบาลที่สุจริตต้องคิด/ ทำอย่างจริงจัง  ครบวงจรเพราะการใช้แรงงานควาย  จะได้รับปุ๋ยคอก  และใช้ขี้ควายผลิตแก๊สชีวภาพได้ด้วย